ใบงานที่ 7 สำนึกรักบ้านเกิด

ข้อคิดที่ได้คือ

1. มีความกตัญญูรู้คุณต่อพ่อแม่http://www.fth0.com/uppic/55102128/news/

2. ข้อคิดที่ได้ไม่ทำให้พ่อแม่เสียใจ

3. เป็นลูกที่ดีไม่ทำให้พ่อเเม่ไม่ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง ไม่ทำให้พ่อแม่เสียใจ

http://www.thaihealth.or.th/data/content/26519/cms/

VDOนี้สอนให้เราเป็นคนอย่างไร

ทุกสิ่งทุกอย่างแม่ให้ลูกได้หมด

ไม่มีใครแล้วที่จะเทียบพ่อกับแม่ของเราได้ …

http://d.lnwfile.com/

จากVDOนี้คุณยาย2คนกำลังพูดคุยถึงเรื่องอะไร

พูดถึงลูกชายของคุณยายสุ่มลูกชายของคุณยายสุ่มไปทำงานที่กรุงเทพ แล้วก็ไม่เคยมาหาแม่อีกเลย แล้วยายก็ฝากคนไปบอกว่ารักลูกชายมากๆ 

http://www.momypedia.com/file_manager/mmpd/0_1_article/

 

ใบงานที่ 4 Merry Christmas

วันคริสต์มาส คริสต์มาส เทศกาลคริสต์มาส คริสต์มาสอีฟhttp://ed.files-media.com/ud/attachment/forum/201312/11/

เทศกาลคริสต์มาส เป็นการฉลองการบังเกิดของพระเยซูที่เราเฉลิมฉลองกันในวันที่ 25 ธันวาคม คำว่า ” คริสต์มาส ” เป็นคำทับศัพท์ภาษาอังกฤษ Christmas มาจากคำภาษาอังกฤษโบราณ ว่า Christes Maesse ที่แปลว่า “บูชามิสซาของพระคริสตเจ้า” คำว่า “Christes Maesse” พบครั้งแรกในเอกสารโบราณเป็นภาษาอังกฤษในปี 1038 และคำนี้ก็ได้แปรเปลี่ยนมาเป็นคำว่า Christmas

ในภาษาไทย ” คริสต์มาส ” ก็มีความหมาย เช่นกัน คำว่า “มาส” แปลว่า “เดือน” เทศกาลคริสต์มาสจึง เป็นเดือนที่เราระลึกถึงพระเยซูคริสต์เจ้าเป็นพิเศษ คำว่า”มาส” คือ”ดวงจันทร์” ตีความหมายในภาษาไทยคือพระเยซูทรงเป็นความสว่างของโลก เหมือนดวงจันทร์ เป็นความสว่างในตอนกลางคืน Merry X’mas คำว่า Merry ในภาษาอังกฤษโบราณ แปลว่า”สันติสุขและความสงบทางใจ

คำนี้จึงเป็นคำที่ใช้อวยพรคน อื่น ขอให้เขาได้รับสันติสุขและความสงบทางใจ ถือเอาประเพณีของชนในท้องถิ่นนั้น มาประยุกต์เข้ากับศาสนา โดยจัดให้มีการฉลองเพื่อระลึก ถึงการบังเกิดของพระเยซู ที่เขายกย่องเหมือนกษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่แห่งสากลโลก ผู้ทรงเกียรติเลอเลิศประเพณี นี้ ได้เริ่มมาจากรุงโรมในศตวรรษ ที่ 4 และ ค่อยๆ เผยแพร่ไปทุกทวีป

ฟังเพลงต้อนรับ วันคริสต์มาส

วันคริสต์มาส

ChristmasTreeLogo

Xmastree3ต้นคริสต์มาส ในสมัยโบราณหมายถึงต้นไม้ในสวนสวรรค์ ซึ่งอาดัมและเอวาไปหยิบผลไม้มากิน และ ทำบาปไม่เชื่อฟังพระเจ้า ตั้งแต่ศตวรรษที่ 11 ชาวคริสต์แสดงละครที่หน้าวัดถึงความหมายของคริสต์มาสและเอาต้นไม้ต้นหนึ่ง ไว้ตรงกลางเพื่อประดับฉากแสดงถึงบาปกำเนิดของอาดัมและเอวาต้นไม้ที่ใช้เป็น ต้นสน เนื่องจากเป็นต้นไม้ที่หาง่าย ที่สุดในประเทศเหล่านั้น

การแสดงละครคริสต์มาสแบบนี้ มีมาเป็นเวลาช้านานหลายร้อยปี จนถึงศตวรรษที่ 15 พระสังฆราชหลายแห่งได้ห้ามแสดง เนื่องจากการแสดงนั้นกลายเป็นการเล่น เหมือน ลิเก ล้อชาวบ้าน ผู้ปกครองบ้านเมือง และศาสนาซึ่งไม่ตรงกับบรรยากาศของการฉลอง ชาวบ้านรู้สึกเสียดายที่ ไม่มีโอกาสดูละครสนุกๆแบบนั้นอีก จึงไปสนุกกันที่บ้านของตน โดยเอาต้นไม้มาไว้ที่บ้าน เพราะต้นไม้เป็นจุดเด่นในลานวัด ที่เขาเคยร่วมสนุกกัน

จากนั้นก็เริ่มมีการแขวนลูก แอปเปิ้ลและแขวนแผ่นขนมปังเพื่อระลึกถึงศีลมหาสนิท ซึ่ง ก็มีวิวัฒนาการ เปลี่ยนแปลงไปเรื่อยๆ จนในที่สุด ก็กลายเป็นขนมและของขวัญ อย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้

เราจะเห็นได้ว่าวันคริสต์มาส เป็นวันสำคัญวันหนึ่ง เพื่อเป็นการระลึกถึงวันที่พระบุตร ของพระเจ้ามาบังเกิดเป็นมนุษย์ พระองค์เป็นพระเจ้า ที่จะอยู่กับเราตลอดไป เป็นส่วนหนึ่งของมนุษย์ เป็นพี่หัวปีที่จะนำมนุษย์ทั้งมวลไปสู่พระบิดาเจ้า พระองค์เป็นความสำเร็จบริบูรณ์ ตามคำ สัญญาของพระเจ้าที่จะดูแลป้องกัน รักษาเราผู้เป็นประชากรของพระองค์

วันคริสต์มาส

santaclause

วันคริสต์มาส

วันคริสต์มาสนี้เริ่มตั้งแต่คริสตวรรษที่ 4 มีนักบุญคนหนึ่งชื่อ “นิโคลาส ” หรือ “เซนต์นิโคลาส” ท่านเป็นนักบุญ ตั้งแต่อายุยังน้อย เมื่อเป็นเด็กหนุ่ม ก็ได้รับแต่งตั้งเป็นสังฆราชแห่งแคว้นไมรา ซึ่งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของประเทศตุรกี ท่านได้กลายเป็นนักบุญอุปถัมถ์ประจำชีวิตเด็ก

เด็กในประเทศอังกฤษ จะเรียกคุณตาใจดีว่า “คุณพ่อแห่งวันคริสต์มาส” ( Father Christmas ) เด็กเยอรมันนีเรียกว่า”ญาติแห่งพระคริสต์”( Christ Child ) เด็กชาวดัชท์เรียกว่า “ซาน นิโคลาส” หรือ “Sankt Klous” ในที่สุดกลายเป็น ” ซานตาคลอส ” ติดปากเด็กๆทั่วโลก

ในปี ค.ศ. 1866 นักวาดการ์ตูนชาวอเมริกัน ชื่อ โธมัส แนส เป็นคนแรกที่วาดภาพของ ซานตาคลอส ขึ้นมาลักษณะเหมือนที่เรา เห็นทุกวันนี้ ลงพิมพ์ในหนังสือ “Horpers Weekly” เป็นครั้งแรกใบหน้าของซานตาคลอส เป็นสีแดงอมชมพูเหมือนกลีบกุหลาบ จมูกแดงเหมือนผลเชอรี่สุก นัยน์ตาสุกใสเป็นประกาย หนวดเคราสีขาวท่าทางใจดี ถึงแม้ซานตาคลอสจะเป็นเพียง ตำนานที่เกิดขึ้นมาเพื่อเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสก็ตาม แต่ก็เป็นสัญลักษณ์ ที่รวมเอาวิญญาณและความหมายของคริสต์มาสไว้อย่างมากมาย คือความปิติยินดีชื่นชม ความโอบอ้อมอารี ความรัก และความเป็นกันเอง และที่สำคัญที่สุดสำหรับเด็กๆคือ ของขวัญ ของขวัญ และ ของขวัญ

อ่าน เรื่องราวของซานตาคลอส

วันคริสต์มาส

ประวัติวันคริสต์มาส

วันคริสต์มาสวันคริสต์มาส

ct bells
วันคริสต์มาส stock-illustration-7549607-christmas-red-and-green-poinsettia-flower-vector-illustration
วันคริสต์มาส วันคริสต์มาส
วันคริสต์มาส วันคริสต์มาส
วันคริสต์มาส  วันคริสต์มาส

วันคริสต์มาส

language

  • ภาษามาเลย์
 |||| Selamat Hari Natal (เซอรามัด ฮารี นาทัล)
  • ภาษาจีนแมนดาริน
 |||| cn-merry( เชิ่ง ตั้น ไคว่ เล่อ)
  • ภาษาอังกฤษ
 |||| Merry Christmas (เมอรี่ คริสต์มาส)
  • ภาษาฝรั่งเศส
 |||| Joyeux Noël (โจ โย่ โน แอล)
  • ภาษาญี่ปุ่น
 |||| 12227989_655006804636798_726567694_o (คุริสมาสโอเมะเดะโต)
  • ภาษาเยอรมัน
 |||| Frohe Weihnachten (โฟรเฮ่อ วายนาคเท่น)
  • ภาษาอิตาเลียน
 |||| Buon Natale (บวน, นา ตา เล)
  • ภาษาเกาหลี
 |||| kr-merry (เม รี คือ รี ซือ มา สึ)
  • ภาษาสเปน
 |||| Feliz Navidad (เฟลิซ นาวิดาด)
  • ภาษาไทย
 |||| สุขสันต์วันคริสต์มาส

 

วันคริสต์มาส

dishes

christmas-foods-8f0diru2

ภาพแห่งความสุขที่เรามักจะเห็น กันจนชินตาของเทศกาลวันคริสต์มาส คงหนีไม่พ้นภาพของครอบครัวใหญ่ที่ร่วมรับประทานอาหารนานาชนิดกันอย่างพร้อม หน้าพร้อมตา อ่านต่อ …

 

วันคริสต์มาส

news

Disney Christmas Tree 12360211_10153823478366151_2505892672568299878_n 1a08eb92540312594c3c9621258df38c credity by newsapi
  • คืนพระจันทร์เต็มดวง ในวันคริสต์มาส ครั้งแรกในศตวรรษที่ 21 คืนพระจันทร์เต็มดวง ในวันคริสต์มาส ครั้งแรกในศตวรรษที่ 21 ครั้งสุดท้ายที่เราเห็นพระจันทร์เต็มดวงในคืนคริสต์มาส คือในปีค.ศ. 1977 และเมื่อคำนวณมาแล้วจะพบว่าถ้าผ่านครั้งนี้ไป เราจะเจอคืนพระจันทร์เต็มดวงอีกครั้งในปีค.ศ. 2034 ตามประกาศของ NASA ที่กล่าวไว้ในเวบไซต์ว่า “นี่เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ยาก และจะไม่เกิดขึ้นอีกจนกระทั่งในปี 2034 มันนานเกินไปที่เราจะต้องคอย ...
  • ทำไมคนญี่ปุ่นต้องต่อแถวคิวยาว เพื่อซื้อไก่ KFC ในวันคริสต์มาสอีฟ ทำไมคนญี่ปุ่นต้องต่อแถวคิวยาว เพื่อซื้อไก่ KFC ในวันคริสต์มาสอีฟ “Kurisumasu ni wa kentakkii!” (Kentucky for Christmas!) เกิดมาจากการทำการตลาดของ KFC ในปี 1974 สนับสนุนให้คนญี่ปุ่นกินไก่ทอดเป็นมื้อคริสต์มาส ...
  • ซานต้ามินิมาราธอน ในกรุงมาดริด ประเทศสเปน ซานต้ามินิมาราธอน ในกรุงมาดริด ประเทศสเปน Santa Claus is coming to Madrid! ในวันที่ 12 ธันวาคมที่ผ่านมาเหล่าประชาชนในกรุงมาดริดประมาณ 6,000 คนได้แต่ตัวเป็นซานตาคลอส และออกมาวิ่งมินิมาราธอน 5.5 ...
  • หนังดี ๆ ในวันคริสต์มาสปีนี้ Barcelona Christmas Night หนังดี ๆ ในวันคริสต์มาสปีนี้ Barcelona Christmas Night Barcelona Christmas Night /Barcelona, nit d’hivern เรื่องราวของความรักในรูปแบบต่าง ๆ ในคืนคริสต์มาสอีฟ ที่เกิดขึ้นในเมืองบาร์เซโลน่า เป็นหนังอีกเรื่องหนึ่งที่น่าดู ...
  • นั่งรถไฟฟ้าที่สิงคโปร์กัน กับ Christmas-Themed Train นั่งรถไฟฟ้าที่สิงคโปร์กัน กับ Christmas-Themed Train รถไฟขบวนแรกด้วย Christmas-Themed ของสิงคโปร์ได้เริ่มต้นขึ้นในวันนี้ ที่สถานี Ang Mo Kio MRT ซึ่งจะยังคงวิ่งให้บริการไปจนถึงวันที่ 27 ธันวาคม 2015
  • การเฉลิมฉลอง[แก้]

    มี 39 ประเทศที่วันคริสต์มาสมิใช่วันหยุดราชการ (สีน้ำตาล) ส่วนประเทศไทย คริสต์มาสมิใช่วันหยุดราชการ แต่มีการเฉลิมฉลอง (observance)

    วันคริสต์มาสเป็นเทศกาลหลักและวันหยุดราชการในหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งประเทศที่ประชากรส่วนใหญ่มิใช่คริสต์ศาสนิกชน ในบางประเทศที่มิใช่คริสต์ ประเทศเหล่านี้รับคริสต์มาสเข้ามาระหว่างถูกปกครองเป็นอาณานิคม (เช่น ฮ่องกง) ส่วนในประเทศอื่น ประชากรค่อย ๆ รับเอาการเฉลิมฉลองของคริสต์ศาสนิกชนกลุ่มน้อยหรืออิทธิพลจากวัฒนธรรมต่างประเทศ ในหลายประเทศ เช่น ญี่ปุ่นและเกาหลี ซึ่งคริสต์มาสเป็นที่นิยมแม้มีคริสตศาสนิกชนน้อย ก็ได้รับเอาคริสต์มาสส่วนที่เป็นฆราวาสหลายอย่าง เช่น การให้ของขวัญ การประดับตกแต่ง และต้นคริสต์มาส ประเทศที่คริสต์มาสไม่ใช่วันหยุดราชการ เช่น สาธารณรัฐประชาชนจีน (ยกเว้นฮ่องกงและมาเก๊า) ญี่ปุ่น ซาอุดิอาระเบีย อัลจีเรีย ไทย เนปาล อิหร่าน ตุรกีและเกาหลีเหนือ การเฉลิมฉลองคริสต์มาสรอบโลกอาจมีรูปแบบแตกต่างกันชัดเจนมาก ซึ่งสะท้อนให้เห็นวัฒนธรรมประเพณีของแต่ละชาติ

    ในกลุ่มประเทศที่มีประเพณีแบบคริสต์มั่นคง การเฉลิมฉลองคริสต์มาสอันหลากหลายได้รับการปรับปรุงกระทั่งกลายมาเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมในแต่ละถิ่นและภูมิภาค สำหรับคริสต์ศาสนิกชน การเข้าร่วมศาสนพิธีถือเป็นส่วนสำคัญในการยอมรับเทศกาลดังกล่าว คริสต์มาส ตลอดจนเทศกาลอีสเตอร์ เป็นช่วงที่มีคนเข้าโบสถ์มากที่สุดในแต่ละปี ในประเทศคาทอลิก ประชากรจัดการเดินขบวนทางศาสนาหรือขบวนแห่ก่อนคริสต์มาส ในประเทศอื่น มีการจัดการเดินขบวนฆราวาสหรือขบวนแห่ซึ่งนำเสนอซานตาคลอสและบุคคลสัญลักษณ์ของเทศกาลอื่น ๆ ที่มักจัดขึ้นบ่อยครั้ง การรวมญาติและการแลกของขวัญได้กลายมาเป็นลักษณะเด่นของเทศกาลอย่างกว้างขวาง ประเทศส่วนใหญ่มีประเพณีการให้ของขวัญ ส่วนวันอื่นที่มีการแลกของขวัญ ได้แก่ วันนักบุญนิโคลัส ที่ตรงกับวันที่ 6 ธันวาคม และการเสด็จมาของพระเยซูคริสต์ ที่ตรงกับวันที่ 6 มกราคม

    วันที่จัดเทศกาล[แก้]

    นักเขียนคริสต์ศาสนิกชนยอมรับว่าคริสต์มาสเป็นวันประสูติของพระเยซูที่ถูกต้องเป็นเวลาหลายศตวรรษ นักบุญจอห์น คริสซอสตอมเทศนาในแอนติออกเมื่อประมาณ ค.ศ. 386 ซึ่งสถาปนาวันคริสต์มาสตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมตามปฏิทินจูเลียนเพราะการตั้งครรภ์พระเยซู (ลูกา 1:26) ได้รับการประกาศระหว่างเดือนที่หกของการตั้งครรภ์ของเอลิซาเบธกับนักบุญยอห์นผู้ให้บัพติศมา (ลูกา 1:10-13) ดังที่บันทึกไว้จากพันธกิจซึ่งซาคาริยาส์กระทำในวันทดแทนบาป (Day of Atonement) ระหว่างเดือนที่เจ็ดของปฏิทินฮีบรู เอธานิมหรือตีซรี (เลวีนิติ 16:29, 1 พงษ์กษัตริย์ 8:2) ซึ่งตกอยู่ในเดือนกันยายนถึงตุลาคม[7]

    ต้นคริสต์ศตวรรษที่ 18 นักวิชาการเริ่มเสนอคำอธิบายอื่นแทน ไอแซก นิวตันแย้งว่า คริสต์มาสถูกเลือกให้ตรงกับเหมายัน[15] ซึ่งชาวโรมันเรียกว่า บรูมา และเฉลิมฉลองในวันที่ 25 ธันวาคม[28] ใน ค.ศ. 1743 คริสเตียนชาวเยอรมัน พอล แอร์นสท์ จาบลอนสกี ให้เหตุผลว่า คริสต์มาสจัดตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมเพื่อให้ตรงกับวันหยุดทางสุริยคติของโรมัน ดีเอส นาตาลิส โซลิส อินวิกติ และดังนั้นจึงเป็นการทำให้เป็นเพเกินซึ่งลดคุณค่าศาสนจักรที่แท้จริง[16] ใน ค.ศ. 1889 หลุยส์ ดือแชนเสนอว่าวันที่คริสต์มาสนั้นคำนวณมาจากเก้าเดือนหลังฉลองแม่พระรับสาร วันที่แต่เดิมถือเป็นการเริ่มตั้งครรภ์พระเยซู ซึ่งวันนั้นตั้งอยู่บนความเชื่อแต่โบราณว่าพระองค์ทรงมาตั้งครรภ์และถูกตรึงบนไม้กางเขนในวันเดียวกัน คือ วันที่ 15 เดือนนิสาน[29][14]

    อย่างไรก็ดี ปัจจุบัน ไม่ว่าวันประสูติของพระเยซูจะตรงกับวันที่ 25 ธันวาคมหรือไม่นั้น ไม่ถูกมองว่าเป็นปัญหาสำคัญในศาสนาคริสต์กระแสหลัก[30][31][32] แต่การเน้นการเฉลิมฉลองการที่พระเจ้าทรงรับสภาพมนุษย์เพื่อไถ่บาปแก่มนุษยชาติถือว่าเป็นความหมายหลักของคริสต์มาส[30][31][32]

    การใช้ปฏิทินจูเลียน[แก้]

    คริสตจักรอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์ รวมทั้งรัสเซีย จอร์เจีย ยูเครน มาเซโดเนีย มอนเตเนโกร เซอร์เบีย และเขตอัครบิดรกรีกแห่งเยรูซาเล็มกำหนดวันที่งานสมโภชโดยใช้ปฏิทินจูเลียนที่เก่ากว่า วันที่ 25 ธันวาคมตามปฏิทินจูเลียน ซึ่งปัจจุบันตรงกับวันที่ 7 มกราคมในปฏิทินเกรโกเรียนที่นานาชาติใช้กัน อย่างไรก็ดี คริสต์ศาสนิกชนออร์โธด็อกซ์อื่น เช่น ศาสนจักรกรีซ โรมาเนีย แอนติโอก อเล็กซานเดรียอัลเบเนีย ฟินแลนด์ และศาสนจักรออร์โธด็อกซ์ในอเมริกา เช่นเดียวกับที่อื่น ๆ เริ่มใช้ปฏิทินจูเลียนที่ได้รับการปรับปรุงในต้นคริสต์ศตวรรษที่ 20 ซึ่งตรงกับปฏิทินเกรโกเรียนพอดี[5]

    คริสตจักรออร์ทอดอกซ์เหล่านี้เฉลิมฉลองคริสต์มาสวันเดียวกับศาสนาคริสต์ตะวันตก คริสตจักรออร์ทอดอกซ์ทางตะวันออกยังใช้ปฏิทินของตนเอง ซึ่งส่วนมากแล้วคล้ายกับปฏิทินจูเลียน คริสตจักรอะโพสโตลิกอาร์มีเนียเฉลิมฉลองการประสูติร่วมกับวันสมโภชพระคริสต์แสดงองค์ในวันที่ 6 มกราคม โดยปกติคริสตจักรอาร์มีเนียใช้ปฏิทินเกรโกเรียน แต่บางแห่งใช้ปฏิทินจูเลียน ดังนั้นจึงเฉลิมฉลองวันคริสต์มาสตรงกับวันที่ 19 มกราคม และคริสต์มาสอีฟวันที่ 18 มกราคม ตามปฏิทินเกรโกเรียน[5]

    การฉลองการประสูติของพระเยซู[แก้]

    คริสต์ศาสนิกชนเฉลิมฉลองการประสูติของพระเยซูผ่านทางนางมารีย์สาวพรหมจารีว่าเป็นการบรรลุคำทำนายพระเมสสิยาห์ของคัมภีร์ไบเบิลภาคพันธสัญญาเดิม[33] โดยคัมภีร์ไบเบิลได้บันทึกเรื่องราวซึ่งอธิบายเหตุการณ์การประสูติของพระเยซู แตกต่างกันเป็นสองเวอร์ชันตามมุมมองของผู้นิพนธ์พระวรสารสี่ท่าน[34][35][36][37] โดยพบในพระวรสารนักบุญมัทธิว คือ มัทธิว 1:18 และพระวรสารนักบุญลูกา โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ลูกา 1:26 และ 2:40 ตามบันทึกเหล่านี้ พระเยซูประสูติแต่นางมารีย์ โดยได้รับความช่วยเหลือจากโยเซฟ สามีของเธอ ในเมืองเบธเลเฮม

    ตามความเชื่อที่ได้รับความนิยม การประสูติมีขึ้นในคอกม้า ล้อมรอบด้วยสัตว์ในไร่นา แม้ทั้งคอกม้าหรือสัตว์ต่าง ๆ จะมิได้ถูกกล่าวถึงอย่างเจาะจงในบันทึกไบเบิล อย่างไรก็ดี มีการกล่าวถึงรางหญ้าในลูกา 2:7 ซึ่งเขียนไว้ว่า มารีย์ “เอาผ้าอ้อมพันและวางไว้ในรางหญ้า เพราะว่าไม่มีที่ว่างให้เขาในโรงแรม” การแทนการประสูติของพระเยซูทางประติมาวิทยาช่วงแรกได้วางสัตว์และรางหญ้าไว้ในถ้ำ (ซึ่งตามความเชื่อตั้งอยู่ใต้คริสตจักรการประสูติในเบธเลเฮม) มากกว่าคอกม้า

    คนเลี้ยงแกะในทุ่งหญ้าใกล้กับเบธเลเฮมได้รับการบอกเล่าถึงการประสูติโดยทูตสวรรค์ และเป็นคนกลุ่มแรกที่มาพบพระกุมารเยซู[38] ตามความเชื่อที่ได้รับความนิยมยังมีว่า กษัตริย์สามพระองค์หรือนักปราชญ์สามคน คือ เมลชอร์ แคสปาร์ และบัลธาซาร์ ได้เดินทางมาเยี่ยมพระกุมารเยซูในรางหญ้า แม้ความเชื่อนี้จะไม่ตรงตามคัมภีร์ไบเบิลอย่างเคร่งครัดก็ตาม แต่ในพระวรสารนักบุญมัทธิวเล่าว่า มีผู้วิเศษหรือโหราจารย์มาพบโดยไม่ระบุจำนวน หลังจากที่พระเยซูประสูติแล้ว ขณะที่ครอบครัวอาศัยอยู่ในเรือน(มัทธิว 2:11)และได้ถวายของขวัญเป็นทองคำ,กำยานและมดยอบแก่พระกุมารเยซู แขกผู้มาเยือนนั้นได้รับทราบจากดาวประหลาด ซึ่งมักรู้จักกันในชื่อ ดาวแห่งเบธเลเฮม เชื่อกันว่าดาวนี้ประกาศการประสูติของกษัตริย์แห่งยิว พิธีฉลองการมาเยือนนี้ งานสมโภชการเสด็จมาของพระเยซู เฉลิมฉลองในวันที่ 6 มกราคม และเป็นวันสิ้นสุดเทศกาลคริสต์มาสในบางคริสตจักร

    คริสต์ศาสนิกชนเฉลิมฉลองคริสต์มาสในหลายวิธี นอกเหนือไปจากวันนี้จะเป็นหนึ่งในวันทีสำคัญที่สุดและนิยมที่สุดในการเข้าร่วมพิธีในโบสถ์,การอุทิศตนและประเพณีอื่นๆที่ได้รับความนิยมอีก ในศาสนาคริสต์บางนิกาย เด็ก ๆ จะแสดงละครเหตุการณ์การประสูติของพระเยซูโดยมีสัตว์ร่วมแสดงด้วยเพื่อความสมจริง หรือร้องบทเพลงซึ่งกล่าวถึงเหตุการณ์ในวันนั้น คริสต์ศาสนิกชนบางคนยังสร้างฉากเหตุการณ์การประสูติในบ้านของพวกเขาด้วย โดยใช้ตุ๊กตาขนาดเล็กประดับเป็นตัวละครหลักในเหตุการณ์ ก่อนวันคริสต์มาส คริสตจักรอีสเทิร์นออร์ทอดอกซ์จะมีการจัดเทศกาลถือศีลอดพระคริสตสมภพ (Nativity Fast) 40 วันล่วงหน้าการประสูติของพระเยซู ขณะที่ศาสนาคริสต์ตะวันตกส่วนใหญ่เฉลิมฉลองเทศกาลเตรียมการรับเสด็จสี่สัปดาห์ สำหรับการฉลองวันคริสต์มาสจะกระทำในคือนวันก่อนวันคริสต์มาส หรือที่เรียกว่าวันคริสต์มาสอีฟ

    ประเพณีเกี่ยวกับศิลปะอันยาวนานได้พัฒนาขึ้นเป็นการผลิตการวาดภาพเขียนสีการประสูติในศิลปะ ฉากการประสูตินั้นแต่เดิมจัดในคอกม้าพร้อมปศุสัตว์ และมีมารีย์ โยเซฟ และพระกุมารเยซูในรางหญ้า นักปราชญ์สามคน คนเลี้ยงแกะกับแกะของพวกเขา ทูตสวรรค์และดาวแห่งเบธเลเฮม[39]

    การประดับตกแต่ง[แก้]

    ดูบทความหลักที่: ต้นคริสต์มาส

    แสงไฟคริสต์มาสในเออร์แบนา รัฐอิลลินอยส์

    ประเพณีการประดับตกแต่งเป็นพิเศษในวันคริสต์มาสนี้มีประวัติศาสตร์ยาวนาน ในคริสต์ศตวรรษที่ 15 มีบันทึกว่าในกรุงลอนดอน การประดับตกแต่งเป็นประเพณีในวันคริสต์มาสสำหรับทุกบ้าน และทุกโบสถ์ประจำเขตแพริชต้อง “ตกแต่งด้วยโอ๊กโฮล์ม ไอวี เบย์ลอเรลและอะไรก็ตามที่ฤดูกาลนี้ในช่วงปีให้เพื่อเป็นสีเขียว”[40] ใบไอวีรูปหัวใจกล่าวกันว่าเป็นสัญลักษณ์การเสด็จมายังโลกมนุษย์ของพระเยซู ขณะที่ฮอลลีถูกมองว่าเป็นการคุ้มครองจากพวกเพเกินและแม่มด หนามของมันและผลเบอร์รีสีแดงถือเป็นสัญลักษณ์มงกุฎหนามซึ่งพระเยซูทรงสวมที่การตรึงกางเขนและพระโลหิตที่พระองค์ทรงหลั่ง[41][42]

    ฉากการสมภพเป็นที่ทราบกันจากกรุงโรมสมัยคริสต์ศตวรรษที่ 10 ซึ่งนักบุญฟรังซิสแห่งอัสซีซีทำให้เป็นที่นิยมนับแต่ ค.ศ. 1223 และได้แพร่กระจายไปทั่วยุโรปอย่างรวดเร็ว[43] ของประดับตกแต่งหลายประเภทได้พัฒนาขึ้นทั่วโลกคริสต์ศาสนิกชน ขึ้นอยู่กับประเพณีท้องถิ่นและทรัพยากรที่หาได้ ของประดับที่ผลิตขึ้นเชิงพาณิชย์ครั้งแรกปรากฏในเยอรมนีในคริสต์ทศวรรษ 1860 โดยได้รับแรงบันดาลใจจากโซ่กระดาษที่เด็กทำ[44] ในประเทศซึ่งการแทนฉากคริสตสมภพเป็นที่นิยมมาก ผู้คนต่างได้รับการสนับสนุนให้ประกวดและสร้างฉากที่เหมือนดั้งเดิมหรือเหมือนจริงที่สุด ในบางครอบครัว แม่พิมพ์ที่ใช้ทำฉากนั้นถูกมองว่าเป็นมรดกมีค่าประจำตระกูล

    สีของคริสต์มาสแต่โบราณ คือ เขียวและแดง[45] ส่วนสีขาว เงินและทองก็ได้รับความนิยมเช่นกัน สีแดงเป็นสัญลักษณ์ของพระโลหิตของพระเยซู ซึ่งทรงหลั่งในการถูกตรึงบนกางเขน สีเขียวเป็นสัญลักษณ์ของชีวิตนิรันดร์ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในไม้ไม่ผลัดใบ ซึ่งไม่เสียใบในฤดูหนาว[42][45]

    ต้นคริสต์มาสแบบเดนมาร์ก ประดับด้วยของตกแต่งคริสต์มาสทำเอง

    ต้นคริสต์มาสถูกมองว่าเป็นการทำให้ประเพณีและพิธีกรรมเพเกินรอบเหมายันเป็นคริสเตียน ซึ่งรวมถึงการใช้กิ่งไม้ไม่ผลัดใบและการดัดแปลงการบูชาต้นไม้ของเพเกิน[46] ตามข้อมูลของนักชีวประวัติสมัยคริสต์ศตวรรษที่แปด เอดดี สเตฟานัส นักบุญโบนิฟาส (ค.ศ. 634-709) ผู้เป็นมิชชันนารีในเยอรมนี หยิบขวานไปยังต้นโอ๊กที่อุทิศให้ธอร์และชี้ไปยังต้นเฟอร์ ซึ่งเขากล่าวว่าเป็นวัตถุควรแก่การเคารพที่เหมาะสมกว่า เพราะมันชี้ไปยังสวรรค์และมีรูปทรงสามเหลี่ยม ซึ่งเขาว่าเป็นสัญลักษณ์ของตรีเอกภาพ[47] วลีภาษาอังกฤษ “ต้นคริสต์มาส” ได้รับบันทึกครั้งแรกใน ค.ศ. 1835[48] และแสดงให้เห็นการรับมาจากภาษาเยอรมัน ประเพณีต้นคริสต์มาสสมัยใหม่เชื่อกันว่าเริ่มต้นในเยอรมนีในคริสต์ศตวรรษที่ 18[46] แม้หลายคนแย้งว่า มาร์ติน ลูเธอร์เริ่มประเพณีดังกล่าวในคริสต์ศตวรรษที่ 16[49][50]

    ประเพณีต้นคริสต์มาสนำเข้าสู่อังกฤษจากเยอรมนีครั้งแรกผ่านพระนางชาร์ล็อตต์ พระมเหสีในพระเจ้าจอร์จที่ 3 จากนั้น เจ้าชายอัลเบิร์ตทรงนำเข้ามาอีกครั้งในรัชสมัยพระราชินีนาถเอลิซาเบธ ซึ่งครั้งนี้ประสบความสำเร็จมากกว่า จนถึง ค.ศ. 1841 ต้นคริสต์มาสได้แพร่หลายในอังกฤษมากยิ่งขึ้น[51] จนถึงคริสต์ทศวรรษ 1870 ผู้คนในสหรัฐอเมริกาได้รับเอาประเพณีการตกแต่งต้นคริสต์มาส[52] ต้นคริสต์มาสอาจตกแต่งด้วยแสงไฟและเครื่องตกแต่ง

    นับแต่คริสต์ศตวรรษที่ 19 พอยเซตเทีย พืชท้องถิ่นจากเม็กซิโก ได้มาเกี่ยวข้องกับคริสต์มาส พืชประจำเทศกาลที่ได้รับความนิยมอื่นอีกมีฮอลลี มิสเซลโท พืชจำพวกว่าน (amaryllis) สีแดง และกระบองเพชรคริสต์มาส ร่วมกับต้นคริสต์มาส ภายในบ้านอาจประดับตกแต่งด้วยพืชเหล่านี้ เช่นเดียวกับพวงมาลัยและใบพืชไม่ผลัดใบ การแสดงหมู่บ้านคริสต์มาสได้กลายมาเป็นประเพณีในหลายบ้านช่วงเทศกาลนี้ ของนอกบ้านอาจประดับตกแต่งด้วยแสงไฟ และบางครั้งด้วยเลื่อนหิมะประดับไฟ มนุษย์หิมะและสัญลักษณ์คริสต์มาสอื่น ๆ

    ของประดับตามประเพณีอย่างอื่นมีระฆัง เทียน อมยิ้มไม้เท้า ถุงเท้ายาว พวงหรีดและทูตสวรรค์ ทั้งการแสดงพวงหรีดและเทียนในหน้าต่างแต่ละบานนั้นเก่าแก่กว่าการจัดแสดงคริสต์มาสเสียอีก การจัดพวกใบที่มีศูนย์กลาง โดยมักมาจากพืชไม่ผลัดใบ ขึ้นเป็นพวงหรีดคริสต์มาสและได้รับการออกแบบเพื่อเตรียมคริสต์ศาสนิกชนสำหรับเทศกาลเตรียมการรับเสด็จ เทียนในหน้าต่างแต่ละบานตั้งใจให้แสดงข้อเท็จจริงที่ว่าคริสต์ศาสนิกชนเชื่อว่า พระเยซูคริสต์เป็นแสงทั้งหมดของโลก[53]

    แสงไฟและธงคริสต์มาสอาจแขวนไว้ตามท้องถนน มีดนตรีบรรเลงจากลำโพง และต้นคริสต์มาสวางไว้ตามสถานที่สำคัญ[54] ในหลายพื้นที่ของโลก ใจกลางเมืองและพื้นที่เดินซื้อของผู้บริโภคมักสนับสนุนและจัดแสดงของประดับตกแต่ง ม้วนห่อกระดาษสีสดใสพร้อมลวดลายคริตส์มาสทางฆราวาสหรือเกี่ยวข้องกับศาสนาผลิตขึ้นใช้ห่อของขวัญ ในบางประเทศ การประดับตกแต่งคริสต์มาสตามประเพณีจะถูกปลดลงในคืนที่สิบสอง ตอนเย็นของวันที่ 5 มกราคม

    ดนตรีและเพลงสวด[แก้]

    ดูบทความหลักที่: เพลงคริสต์มาส

    เพลงสวดคริสต์มาสเพลงแรกปรากฏขึ้นในคริสต์ศตวรรษที่ 4 ในกรุงโรม เริ่มเผยแพร่ไปยังอารามยุโรปเหนือในคริสต์ศตวรรษที่ 9 และ 10 ต่อมา จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 13 ในฝรั่งเศส เยอรมนี และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง อิตาลี ภายใต้อิทธิพลของนักบุญฟรานซิสแห่งอัสซีซี มีการพัฒนาประเพณีเพลงคริสต์มาสในภาษาถิ่นที่ได้รับความนิยมอย่างมั่นคง เพลงสวดคริสต์มาสในภาษาอังกฤษปรากฏครั้งแรกในผลงานของจอห์น เอาด์เลย์ (John Awdlay) เพลงเก่าแก่ที่ยังร้องกันอยู่เป็นประจำ คือ ขอเชิญท่านผู้วางใจ (ละติน: Adeste Fidelis) ปรากฏในรูปปัจจุบันตั้งแต่กลางคริสต์ศตวรรษที่ 18 ส่วนเนื้อร้องประพันธ์ขึ้นตั้งแต่คริสต์ศตวรรษที่ 13

    ส่วนเพลงเทศกาลคริสต์มาสทางฆราวาสทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นในปลายคริสต์ศตวรรษที่ 18 “เดกเดอะฮอลส์” (Deck The Halls) สืบประวัติไปได้ถึง ค.ศ. 1784 และเพลง “จิงเกิลเบลส์” ของอเมริกัน จดลิขสิทธิ์ใน ค.ศ. 1857

    อาหาร[แก้]

    อาหารครอบครัวคริสต์มาสมื้อพิเศษตามประเพณีเป็นส่วนสำคัญในการเฉลิมฉลองวันคริสต์มาส และอาหารซึ่งรับประทานนั้นแตกต่างกันไปตามประเทศ บางภูมิภาค เช่น ซิซิลี มีอาหารมื้อพิเศษในวันคริสต์มาสอีฟ โดยรับประทานปลา 12 ชนิด ในอังกฤษและประเทศซึ่งได้รับอิทธิพลจากประเพณีอังกฤษ มื้อคริสต์มาสมาตรฐานมีไก่งวงหรือห่าน เนื้อสัตว์ เกรวี มันฝรั่ง ผัก และบางครั้งมีขนมปังและไซเดอร์ นอกจากนี้ยังมีการเตรียมของหวานพิเศษเช่นกัน เช่น พุดดิงคริสต์มาส พายไส้เนื้อสัตว์และเค้กผลไม้[55][56]

    การให้ของขวัญ[แก้]

    การแลกของขวัญเป็นหนึ่งในแง่มุมหลักของการเฉลิมฉลองคริสต์มาสสมัยใหม่ ซึ่งทำให้เทศกาลคริสต์มาสเป็นช่วงทำกำไรสูงสุดของปีสำหรับผู้ค้าปลีกและธุรกิจทั่วโลก การให้ของขวัญเป็นปกติในการเฉลิมฉลองแซเทิร์นาเลีย (Saturnalia) เทศกาลโบราณของโรมันซึ่งจัดขึ้นในปลายเดือนธันวาคมและอาจมีอิทธิพลต่อประเพณีคริสต์มาส[57] การให้ของขวัญคริสต์มาสถูกห้ามโดนคริสตจักรคาทอลิกในยุคกลางเพราะสงสัยประเพณีดังกล่าวว่ามีต้นกำเนิดมาจากเพเกิน[57] ภายหลังคริสตจักรใช้เหตุผลตัดสินบนพื้นฐานว่าเป็นการเชื่อมโยงนักบุญนิโคลัสกับคริสต์มาส และของขวัญที่เป็นทองคำ กำยานและมดยอบก็ได้มอบถวายแด่พระกุมารเยซูโดยนักปราชญ์ทั้งสาม

    บุคคลให้ของขวัญตามตำนาน[แก้]

    ดูบทความหลักที่: ซานตาคลอส

    มีหลายคนทั้งที่ถือกำเนิดขึ้นตามแบบคริสต์และตามตำนานเกี่ยวข้องกับคริสต์มาสและการให้ของขวัญตามเทศกาล ในบรรดาบุคคลเหล่านี้มี ซานตาคลอส, ปิแอร์ นอแอล (Père Noël) และไวนัคท์สมันน์ (Weihnachtsmann), นักบุญนิโคลัสหรือซินเทอร์กลาส (Sinterklaas), คริสต์คินด์ (Christkind), คริส ครินเกิล (Kris Kringle), จูลูปูกี (Joulupukki), บับโบ นาตาเล (Babbo Natale), นักบุญบาซิล (Saint Basil) และฟาเธอร์ฟรอสต์

    บุคคลซึ่งมีชื่อเสียงที่สุดและรู้จักกันแพร่หลายที่สุดในบรรดาชื่อเหล่านี้ในการเฉลิมฉลองสมัยใหม่ทั่วโลกคือ ซานตาคลอส ผู้ให้ของขวัญตามตำนาน แต่งกายชุดแดง โดยที่มานั้นมีเรื่องเล่าหลากหลาย ชื่อซานตาคลอสสามารถสืบย้อนไปยังคำภาษาดัตช์ว่า ซินเทอร์กลาส ซึ่งมีความหมายอย่างง่ายว่า นักบุญนิโคลัส นิโคลัสเป็นบิชอปแห่งไมรา ในตุรกีปัจจุบัน ระหว่างคริสต์ศตวรรษที่ 4 ในบรรดาคุณลักษณะอย่างนักบุญอื่น ๆ เขาถูกจดจำสำหรับการดูแลเด็ก ความเอื้อเฟื้อและการให้ของขวัญ งานสมโภชเขาในวันที่ 6 ธันวาคมจึงมีการเฉลิมฉลองในหลายประเทศด้วยการให้ของขวัญ[58]

    นักบุญนิโคลัสตามประเพณีปรากฏในเครื่องแต่งกายของบิชอป ร่วมกับผู้ช่วยเหลือ สอบถามถึงพฤติกรรมของเด็กในช่วงปีที่ผ่านมาก่อนตัดสินใจว่าพวกเขาสมควรได้รับของขวัญหรือไม่ จนถึงคริสต์ศตวรรษที่ 13 นักบุญนิโคลัสเป็นที่รู้จักกันในดีในเนเธอร์แลนด์ และการปฏิบัติให้ของขวัญในชื่อของเขาได้แพร่ขยายไปยังส่วนอื่นของยุโรปกลางและใต้ ในห้วงการปฏิรูปศาสนาในยุโรปคริสต์ศตวรรษที่ 16-17 ผู้นับถือโปรแตสแตนท์หลายคนเปลี่ยนผู้นำของขวัญไปเป็นคริสต์ไชล์ (Christ Child) หรือคริสต์คินล์ (Christkindl) แผลงในภาษาอังกฤษเป็นคริส ครินเกิล และวันที่ให้ของขวัญเปลี่ยนจากวันที่ 6 ธันวาคมมาเป็นวันคริสต์มาสอีฟ[58]

    ภาพลักษณ์ซานตาคลอสที่ได้รับความนิยมในปัจจุบัน คือ มีเคราขาว สวมชุดแดง และให้ของขวัญแก่เด็กดี

    อย่างไรก็ดี ภาพลักษณ์สมัยใหม่ที่ได้รับความนิยมของซานตาคลอสนี้ถูกสร้างขึ้นในสหรัฐอเมริกา และโดยเฉพาะอย่างยิ่งในนิวยอร์ก การเปลี่ยนรูปดังกล่าวประสบความสำเร็จด้วยความช่วยเหลือของผู้มีส่วนสำคัญ รวมทั้งนักวาดการ์ตูน โธมัส แนสต์ (ค.ศ. 1840-1902) หลังสงครามปฏิวัติอเมริกัน ผู้อยู่อาศัยบางคนในนครนิวยอร์กมองหาสัญลักษณ์ของนครในอดีตที่มิใช่อังกฤษ นิวยอร์กแต่เดิมก่อตั้งขึ้นเป็นเมืองอาณานิคมดัตช์ชื่อ นิวอัมสเตอร์ดัม และประเพณีซินเทอร์กลาสของดัตช์ได้ถูกนำเสนอใหม่เป็นนักบุญนิโคลัส[59]

    ใน ค.ศ. 1809 สมาคมประวัติศาสตร์นิวยอร์กชุมนุมกันและให้ชื่อแซนค์เตคลอส (Sancte Claus) เป็นนักบุญผู้ปกปักษ์รักษานิวอัมสเตอร์ดัม ซึ่งเป็นชื่อดัตช์ของนครนิวยอร์ก อันมีผลย้อนหลัง[60] ในภาพลักษณ์อย่างอเมริกันครั้งแรกของเขาใน ค.ศ. 1810 ซานตาคลอสถูกวาดในชุดคลุมบิชอป อย่างไรก็ดี เมื่อศิลปินคนใหม่เข้ามา ซานตาคลอสได้พัฒนามาเป็นเครื่องแต่งกายทางฆราวาสมากขึ้น[61] แนสต์วาดภาพใหม่ของซานตาคลอสทุกปี เริ่มตั้งแต่ ค.ศ. 1863 จนถึงคริสต์ทศวรรษ 1880 ซานตาของแนสต์ได้พัฒนาไปเป็นสวมชุดคลุม แต่งกายด้วยชุดเฟอร์ อันเป็นรูปที่คุ้นเคยกันในปัจจุบัน ซึ่งบางทีอาจนำมาจากบุคคลฟาเธอร์คริสต์มาสของอังกฤษ รูปดังกล่าวได้รับการสร้างมาตรฐานโดยนักโฆษณาในคริสต์ทศวรรษ 1920[62]

    ฟาเธอร์คริสต์มาส ชายมีเคราผู้ร่าเริงที่ได้รับการเลี้ยงดูอย่างดีผู้เป็นแบบอย่างจิตวิญญาณแห่งของความชื่นชมยินดีในวันคริสต์มาส เกิดขึ้นก่อนตัวละครซานตาคลอส เขาได้รับบันทึกครั้งแรกในอังกฤษต้นคริสต์ศตวรรษที่ 17 แต่ยังเกี่ยวข้องกับการทำสนุกและความมึนเมาช่วงเทศกาลมากกว่าการนำของขวัญมาให้[48] ในสมัยวิกตอเรีย ภาพลักษณ์ของเขาถูกนำเสนอใหม่ให้ตรงกับของซานตา ปิแอร์ นอแอลของฝรั่งเศสได้วิวัฒนาในแนวคล้ายกัน จนสุดท้ายได้รับเอาภาพลักษณ์แบบซานตามา ในอิตาลี บับโบ นาตาเลประพฤติเฉกเช่นซานตาคลอส ขณะที่ลา เบฟานา (La Befana) เป็นผู้นำของขวัญและมาถึงมาในวันก่อนการเสด็จมาของพระเยซู กล่าวกันว่าลา เบฟานาเดินทางมาเพื่อนำของขวัญไปให้พระกุมารเยซู แต่เกิดหลงระหว่างทาง ปัจจุบัน เธอนำของขวัญมาให้แก่เด็กทุกคน ในบางวัฒนธรรม ซานตาคลอสเกี่ยวข้องกับอัศวินรูเพิร์ต (Knecht Ruprecht) หรือปีเตอร์ดำ (Black Peter) ในเวอร์ชันอื่น พวกเอลฟ์ทำของเล่น ภรรยาของเขาเรียกกันว่า คุณนายคลอส

    มีฝ่ายที่คัดค้านการบรรยายการวิวัฒนาซานตาคลอสเป็นซานตายุคใหม่ของอเมริกัน ซึ่งก็มีการให้เหตุผลว่า สมาคมนักบุญนิโคลัสนั้นยังไม่ถูกจัดตั้งขึ้นกระทั่ง ค.ศ. 1835 นับเป็นเวลาเกือบครึ่งศตวรรษหลังสงครามประกาศอิสรภาพสิ้นสุดลง[63] ยิ่งไปกว่านั้น การศึกษา “หนังสือเด็ก วารสารและวารสารวิชาการ” ของนิวอัมสเตอร์ดัม โดยชาลส์ โจนส์ ได้เปิดเผยว่าไม่มีการอ้างถึงนักบุญนิโคลัสหรือซินเทอร์กลาสเลย[64] อย่างไรก็ดี มิใช่นักวิชาการทั้งหมดจะเห็นด้วยกับการค้นพบของโจนส์ ซึ่งเขากล่าวซ้ำอีกครั้งในการศึกษาใน ค.ศ. 1978[65] ฮาวาร์ด จี. แฮเกมัน แห่งโรงเรียนศาสนาเทววิทยานิวบรันสวิก ยังสนับสนุนประเพณีการเฉลิมฉลองซินเทอร์กลาสในนิวยอร์กยังมีชีวิตและยังดีอยู่นับแต่การตั้งถิ่นฐานแรกเริ่มในฮัดสันวัลเลย์เป็นต้นมา[66]

    ประเพณีปัจจุบันในหลายประเทศละตินอเมริกา (เช่น เวเนซุเอลาและโคลัมเบีย) ถือว่า ซานตาเป็นผู้สร้างของเล่น จากนั้นเขาถวายแด่พระกุมารเยซู ซึ่งเป็นผู้ส่งของเล่นมายังบ้านของเด็ก ๆ ที่แท้จริง ซึ่งเป็นการผสมผสานความเชื่อทางศาสนาแต่เดิมกับประติมานวิทยาของซานตาคลอสซึ่งรับมาจากสหรัฐอเมริกา

    ในไทรอลใต้ (อิตาลี) ออสเตรีย สาธารณรัฐเช็ก เยอรมนีตอนใต้ ฮังการี ลิกเตนสไตน์ สโลวาเกียและสวิตเซอร์แลนด์ คริสต์คินด์เป็นผู้นำของขวัญ เด็กชาวกรีกได้รับของขวัญจากนักบุญบาซิลในวันสิ้นปี วันก่อนหน้างานสมโภชพิธีกรรมของนักบุญนั้น[67] นักบุญนิโคเลาส์ของเยอรมันไม่เหมือนกับไวนัคท์สมันน์ (ซึ่งเป็นซานตาคลอส/ฟาเธอร์คริสต์มาสเวอร์ชันเยอรมัน) นักบุญนิโคเลาส์สวมเครื่องแต่งกายบิชอปและยังนำของขวัญเล็ก ๆ มาให้ (มักเป็นลูกกวาด ถั่วและผลไม้) ในวันที่ 6 ธันวาคม และมาด้วยกันกับอัศวินรูเพิร์ตและผู้ให้ของขวัญคนอื่น บางคนปฏิเสธการปฏิบัตินี้ โดยมองว่าเป็นการสร้างความเข้าใจผิด[68]

    ประวัติ[แก้]

    หลักฐานเก่าแก่ที่สุดของการเฉลิมฉลองวันที่ 25 ธันวาคมเป็นงานสมโภชการประสูติของพระเยซูตามพิธีกรรมแบบคริสต์นั้นปรากฏใน “ปฏิทินแห่ง ค.ศ. 354” (Chronography of 354 AD) ซึ่งเป็นหลักฐานในกรุงโรม ขณะที่ศาสนาคริสต์ตะวันออก การประสูติของพระเยซูนั้นมีการเฉลิมฉลองโดยเชื่อมโยงกับการเสด็จมาของพระเยซูในวันที่ 6 มกราคมแล้ว[69][70] การเฉลิมฉลองวันที่ 25 ธันวาคม ทางตะวันออกได้รับไปภายหลัง ในแอนติออก โดยจอห์น คริสซอสตอม ในช่วงปลายคริสต์ศตวรรษที่ 4[70] อาจเป็น ค.ศ. 388 และในอเล็กซานเดรียเฉพาะในอีกศตวรรษต่อมา[71] แม้ในทางตะวันตก การเฉลิมฉลองการสมภพของพระเยซูดูเหมือนจะมีต่อไปกระทั่งหลัง ค.ศ. 380[72]

    ประเพณีที่ได้รับความนิยมจำนวนมากที่เกี่ยวข้องกับคริสต์มาสพัฒนาขึ้นโดยแยกจากพิธีฉลองการประสูติของพระเยซู โดยบางส่วนมีกำเนิดในเทศกาลก่อนคริสเตียนรอบเทศกาลฤดูหนาวโดยประชากรเพเกินผู้ที่ภายหลังเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ ส่วนเหล่านี้ รวมทั้งเค้กขอนไม้จากตรุษฝรั่ง และการให้ของขวัญจากแซเทิร์นาเลีย[57] ได้ผสมเข้ากับคริสต์มาสในห้วงหลายศตวรรษ บรรยากาศซึ่งมีอยู่ทั่วไปของคริสต์มาสยังได้วิวัฒนาอย่างต่อเนื่องนับแต่การเริ่มต้น โดยมีหลากหลายตั้งแต่สภาพเสียงดัง มึนเมาและคล้ายงานรื่นเริงในยุคกลาง[73] มาเป็นธีมที่สงบลง โดยเน้นครอบครัวและยึดเด็กเป็นศูนย์กลางเริ่มตั้งแต่การปฏิรูปในคริสต์ศตวรรษที่ 19[74][75] ยิ่งไปกว่านั้น การเฉลิมฉลองคริสต์มาสยังเคยถูกห้ามมากกว่าหนึ่งครั้งในนิกายโปรแตสแตนท์เพราะความกังวลว่าประเพณีนั้นเป็นเพเกินหรือแย้งต่อคัมภีร์ไบเบิลมากเกินไป

  • ลิงค์http://www.educatepark.com/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B
  • ลิงค์ https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%84%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B9%8C%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%AA

ใบงานที่ 9 สานรัก คนเก่งหัวใจแกร่ง

สารคดีชีวิต สานรัก คนเก่งคนเก่งหัวใจแกร่ง ตอน แกร่งดั่งหิน 28 มีนาคม 2558

ชื่อเรื่อง แกร่งดั่งหิน

สรุปสาระของ VDO  เรื่องนี้สอนว่า ด.ช.อัมรินทร์ วังหิน ออกอากาศวันที่ 28 มี.ค. 2558 เพราะชะตาชีวิตไม่ได้ราบเรียบอย่างแต่ก่อน “หิน” จึงต้องรับภาระมากเกินกว่าเด็กวัย 13 ปีทั่วไป เมื่อพบว่าพ่อผู้เป็นเสาหลักของครอบครัวต้­องเผชิญกับโรคมะเร็งลำไส้ใหญ่ พ่อต้องเข้ารับการรักษาด้วยการบำบัดเคมี ทำให้ไม่สามารถทำงานหนักได้ ส่วนแม่เป็นโรคสันนิบาตหน้าไฟตั้งแต่คลอดห­ิน มีอาการเกร็งของกล้ามเนื้อ ทำงานไม่ถนัดเหมือนคนทั่วไป แต่แม่ก็ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างสุดความสา­มารถ หินเป็นเหมือนเรี่ยวแรงของทุกคนในครอบครัว ทุกวันหินจะไปลงข่ายจับปลาที่บึงแถวบ้าน ถ้าน้ำน้อยก็จะอาศัยทอดแหหรือใช้สุ่มจับปล­า ได้มามากก็จะไปขายกับแม่ค้าแกงแถวบ้าน ที่บ้านยังปลูกผักสวนครัวแปลงเล็กๆ เมื่อผักโตพอเก็บได้ก็จะนำไปส่งขายให้แม่ค­้าผักแถวบ้าน

ตัวละครที่สำคัญในเรื่อง

  1. ด.ช.อัมรินทร์ วังหิน (หิน)
  2. พ่อ เฉลียว วังหิน (พ่อ)
  3. สุภาวดี รอตเสียงล้ำ (ครูประจำชั้น)
  4. สุมาลี ทิมวงษ์ (แม่ค้าผัก)
  5. ด.ร เนตรนภา แซ่หลี (อาจาร์ยสาขาวิชาเคมี มหาวิทยาลัยทักษิณ)

VDO นี้สอนให้รู้ว่า หินเป็นคนใจสู้ไม่อายการทำมาหากิน ไม่ทิ้งการเรียน

คติประจำใจของ หิน  ทำวันนี้ให้ดีที่สุดเป้าหมายมีไว้พุ่งชน .. ฝันให้ไกลไปให้ถึง.

ใบงานที่ 8 My idol…

วาเลนตีโน รอสซี

http://s1.boxzaracing.com/news/02/6f/
 http://www.siamsport.co.th/_ImagesColumn/

แม่แบบ:นักแข่งรถจักรยานยนต์อาชีพ วาเลนตีโน รอสซี (อิตาลี: Valentino Rossi) นักแข่งรถจักรยานยนต์อาชีพ รุ่นโมโตจีพี แชมป์โลก 9 สมัยชาวอิตาลี เกิดเมื่อวันที่ 16 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 1979 ที่ตาวุลเลีย เมืองอูร์บีโน เป็นบุตรชายของกราเซียโน รอสซี อดีตนักแข่งรถจักรยานยนต์ รอสซีใช้หมายเลข 46 ในการแข่งขันhttps://www.yamaha-motor.co.th/MotoGP/upload/news/2568/gallery/

รอสซีเคยขับรถรุ่น 125 และ 250 ซีซี ร่วมทีมอพรีเลีย ระหว่างปี พ.ศ. 2539 – 2542 ก่อนจะย้ายมาขับให้กับทีมเรปโซลฮอนด้า ในรุ่น 500 ซีซี และโมโตจีพี ระหว่างปี พ.ศ. 2543 – 2546 และย้ายมาอยู่กับทีมยามาฮ่า ในปี พ.ศ. 2547 – 2553 โดยย้ายไปขับให้กับทีมดูคาติ ในปี พ.ศ. 2554 – 2555 ก่อนย้ายกลับมาร่วมทีมยามาฮ่าอีกครั้งในปี พ.ศ. 2556

สถิติ[แก้]

ฤดูกาล รุ่น รถ ทีม แข่ง ชนะ โพเดียม โพล FLap คะแนน อันดับ แชมป์โลก
1996 125cc Aprilia RS125 Scuderia AGV Aprilia 15 1 2 1 2 111 9th 0
1997 125cc Aprilia RS125 Nastro Azzurro Aprilia 15 11 13 4 7 321 1st 1
1998 250cc Aprilia RS250 Nastro Azzurro Aprilia 14 5 9 0 3 201 2nd 0
1999 250cc Aprilia RS250 Nastro Azzurro Aprilia 16 9 12 5 8 309 1st 1
2000 500cc Honda NSR500 Nastro Azzurro Honda 16 2 10 0 5 209 2nd 0
2001 500cc Honda NSR500 Nastro Azzurro Honda 16 11 13 4 10 325 1st 1
2002 MotoGP Honda RC211V Repsol Honda Team 16 11 15 7 9 355 1st 1
2003 MotoGP Honda RC211V Repsol Honda 16 9 16 9 12 357 1st 1
2004 MotoGP Yamaha YZR-M1 Gauloises Fortuna Yamaha 16 9 11 5 3 304 1st 1
2005 MotoGP Yamaha YZR-M1 Gauloises Yamaha Team[N 1] 17 11 16 5 6 367 1st 1
2006 MotoGP Yamaha YZR-M1 Camel Yamaha Team 17 5 10 5 4 247 2nd 0
2007 MotoGP Yamaha YZR-M1 Fiat Yamaha Team 18 4 8 4 3 241 3rd 0
2008 MotoGP Yamaha YZR-M1 Fiat Yamaha Team 18 9 16 2 5 373 1st 1
2009 MotoGP Yamaha YZR-M1 Fiat Yamaha Team 17 6 13 7 6 306 1st 1
2010 MotoGP Yamaha YZR-M1 Fiat Yamaha Team 14 2 10 1 2 233 3rd 0
2011 MotoGP Ducati Desmosedici GP11 Ducati Team 17 0 1 0 1 139 7th 0
2012 MotoGP Ducati Desmosedici GP12 Ducati Team 18 0 2 0 1 163 6th 0
2013 MotoGP Yamaha YZR-M1 Yamaha Factory Racing 18 1 6 0 1 237 4th 0
2014 MotoGP Yamaha YZR-M1 Movistar Yamaha MotoGP 18 2 13 1 1 295 2nd 0
2015 MotoGP Yamaha YZR-M1 Movistar Yamaha MotoGP 2 1 2 0 1 41* 2nd* 0
รวม 314 109 198 60 90 5134 9

ใบงานที่ 6 วันเด็กแห่งชาติ 2559

•ลิงค์ที่มา https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%94%E0%B9%8
https://i.ytimg.com/vi/y7t4io6JxsM/

ประเทศไทยได้รับข้อเสนอของวี เอ็ม กุลกานี ผู้แทนองค์กรสมาพันธ์เพื่อสวัสดิภาพเด็กระหว่างประเทศ ผ่านมาทางกรมประชาสงเคราะห์ กระทรวงมหาดไทยว่า ประเทศไทยควรจัดงานเฉลิมฉลองวันเด็กแห่งชาติขึ้น เพื่อส่งเสริมให้ประชาชนเห็นความสำคัญของเด็กให้มากขึ้น ดังที่นานาประเทศกำลังทำอยู่

ขณะนั้น สภาวัฒนธรรมแห่งชาติยังมิได้ถูกยุบเลิกไป คณะกรรมการสภาวัฒนธรรมแห่งชาติ จึงนำเรื่องนี้เข้าสู่ที่ประชุมเพื่อพิจารณา ในที่สุดที่ประชุมได้เห็นชอบนำเรื่องเสนอต่อคณะรัฐมนตรีในขณะนั้น ต่อมาเมื่อวันที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2498 ได้มีมติคณะรัฐมนตรีรับหลักการ ให้จัดงานวันเด็กแห่งชาติขึ้น โดยมอบหมายให้กระทรวงมหาดไทย และกระทรวงศึกษาธิการรับไปดำเนินการ ส่วนของค่าใช้จ่ายในการจัดงานนั้น ได้อนุมัติเงินจากกองสลากกินแบ่งรัฐบาลมาดำเนินการ

ดังนั้น ในวันที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2498 ประเทศไทยจึงมีงานเฉลิมฉลองวันเด็กแห่งชาติเกิดขึ้นเป็นครั้งแรก จากนั้นเป็นต้นมา ทางราชการได้กำหนดวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคมของทุกปีเป็นวันเด็กแห่งชาติ และจัดติดต่อกันมาจนถึงปี พ.ศ. 2506 ที่ประชุมคณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติในปีนั้น มีความเห็นพ้องต้องกันว่า สมควรที่จะเสนอเปลี่ยนวันจัดงานวันเด็กแห่งชาติเสียใหม่เพื่อความเหมาะสม ด้วยเหตุผลว่า ในเดือนตุลาคม ประเทศไทยยังอยู่ในฤดูฝน มีฝนตกมาก เด็กไม่สะดวกในการมาร่วมงาน ประการต่อมาก็คือ วันจันทร์เป็นวันปฏิบัติงานของผู้ปกครอง จึงไม่สามารถพาเด็กของตนไปร่วมงานได้ ตลอดจนการจราจรก็ติดขัด

คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบตามที่คณะกรรมการจัดงานวันเด็กแห่งชาติเสนอ ลงวันที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2507 ประกาศเปลี่ยนงานฉลองวันเด็กแห่งชาติจากวันจันทร์แรกของเดือนตุลาคม มาเป็นวันเสาร์ที่สองของเดือนมกราคมตั้งแต่บัดนั้นเป็นต้นมา ด้วยเหตุนี้จึงส่งผลให้ปี พ.ศ. 2507 ไม่มีงานวันเด็กแห่งชาติด้วยการประกาศเปลี่ยนได้เลยวันมาแล้ว

งานวันเด็กแห่งชาติได้เริ่มจัดขึ้นมาใหม่อีกครั้งใน พ.ศ. 2508 และจัดเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน

คำขวัญวันเด็ก

คำขวัญวันเด็ก เป็นคำขวัญที่นายกรัฐมนตรีมอบให้เด็กไทย เนื่องในโอกาสวันเด็กแห่งชาติของทุกปี โดยคำขวัญวันเด็กมีขึ้นครั้งแรก เมื่อ พ.ศ. 2499 ในสมัยที่จอมพล แปลก พิบูลสงคราม ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี และตั้งแต่ พ.ศ. 2502 จอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ซึ่งดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ได้มอบคำขวัญวันเด็กให้ จึงได้ถือเป็นธรรมเนียมสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน

ปี นายกรัฐมนตรี คำขวัญ
พ.ศ. 2499 จอมพล แปลก พิบูลสงคราม จงบำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นและส่วนรวม
พ.ศ. 2502 จอมพล สฤษดิ์ ธนะรัชต์ ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่รักความก้าวหน้า[1]
พ.ศ. 2503 ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่รักความสะอาด[1]
พ.ศ. 2504 ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่อยู่ในระเบียบวินัย[1]
พ.ศ. 2505 ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่ประหยัด[1]
พ.ศ. 2506 ขอให้เด็กสมัยปฏิวัติของข้าพเจ้า จงเป็นเด็กที่มีความขยันหมั่นเพียรมากที่สุด[1]
พ.ศ. 2508 จอมพล ถนอม กิตติขจร เด็กจะเจริญต้องรักเรียนเพียรทำดี[1]
พ.ศ. 2509 เด็กที่ดีต้องมีสัมมาคารวะ มานะ บากบั่น และสมานสามัคคี[1]
พ.ศ. 2510 อนาคตของชาติจะสุกใส หากเด็กไทยแข็งแรง เรียนดี มีความประพฤติเรียบร้อย[1]
พ.ศ. 2511 ความเจริญและความมั่นคงของชาติไทยในอนาคต ขึ้นอยู่กับเด็กที่มีวินัย มีความเฉลียวฉลาด และรักชาติยิ่ง[1]
พ.ศ. 2512 รู้เรียน รู้เล่น รู้สามัคคี เป็นความดีที่เด็กพึงจำ[1]
พ.ศ. 2513 เด็กประพฤติดีและศึกษาดี ทำให้มีอนาคตแจ่มใส[1]
พ.ศ. 2514 ยามเด็กจงหมั่นเรียนเพียรกระทำดี เติบใหญ่จะได้มีความสุขความเจริญ[1]
พ.ศ. 2515 เยาวชนฝึกตนดี มีความสามารถ[1]
พ.ศ. 2516 เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติเจริญ[1]
พ.ศ. 2517 สัญญา ธรรมศักดิ์ สามัคคีคือพลัง[1]
พ.ศ. 2518 เด็กดีคือทายาทของชาติไทย ต้องร่วมใจร่วมพลังสร้างความสามัคคี[1]
พ.ศ. 2519 หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมช เด็กที่ต้องการเห็นอนาคตของชาติรุ่งเรือง จะต้องทำตัวให้ดีมีวินัยเสียแต่บัดนี้[1]
พ.ศ. 2520 ธานินทร์ กรัยวิเชียร รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นคุณสมบัติของเยาวชนไทย[1]
พ.ศ. 2521 พลเอก เกรียงศักดิ์ ชมะนันทน์ เด็กดีเป็นศรีแก่ชาติ เด็กฉลาดชาติมั่นคง[1]
พ.ศ. 2522 เด็กไทยคือหัวใจของชาติ[1]
พ.ศ. 2523 อดทน ขยัน ประหยัด เป็นคุณสมบัติของเด็กไทย[1]
พ.ศ. 2524 พลเอก เปรม ติณสูลานนท์ เด็กไทยมีวินัย ใจสัตย์ซื่อ รู้ประหยัด เคร่งครัดคุณธรรม[1]
พ.ศ. 2525 ขยันศึกษา ใฝ่หาความรู้ เชิดชูชาติศาสน์กษัตริย์ เป็นคุณสมบัติของเด็กไทย[1]
พ.ศ. 2526 รู้หน้าที่ ขยัน ซื่อสัตย์ ประหยัด มีวินัยและคุณธรรม[1]
พ.ศ. 2527 รักวัฒนธรรมไทย ใฝ่ดีมีความคิด สุจริตใจมั่น หมั่นศึกษา[1]
พ.ศ. 2528 สามัคคี นิยมไทย มีวินัย ใฝ่คุณธรรม[1]
พ.ศ. 2529 นิยมไทย มีวินัย ใช้ประหยัด ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม[1]
พ.ศ. 2530
พ.ศ. 2531
พ.ศ. 2532 พลเอก ชาติชาย ชุณหะวัณ รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใจสัตย์ซื่อ ถือคุณธรรม[1]
พ.ศ. 2533
พ.ศ. 2534 รู้หน้าที่ มีวินัย ใฝ่คุณธรรม นำชาติพัฒนา[1]
พ.ศ. 2535 อานันท์ ปันยารชุน สามัคคี มีวินัย ใฝ่ศึกษา จรรยางาม[1]
พ.ศ. 2536 ชวน หลีกภัย ยึดมั่นประชาธิปไตย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม[1]
พ.ศ. 2537
พ.ศ. 2538 สืบสานวัฒนธรรมไทย ร่วมใจพัฒนา รักษาสิ่งแวดล้อม[1]
พ.ศ. 2539 บรรหาร ศิลปอาชา มุ่งหาความรู้ เชิดชูความเป็นไทย หลีกไกลยาเสพติด[1]
พ.ศ. 2540 พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธ รู้คุณค่าวัฒนธรรมไทย ตั้งใจใฝ่ศึกษา ไม่พึ่งพายาเสพติด[1]
พ.ศ. 2541 ชวน หลีกภัย ขยัน ประหยัด ซื่อสัตย์ มีวินัย[1]
พ.ศ. 2542
พ.ศ. 2543 มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ คู่คุณธรรม นำประชาธิปไตย[1]
พ.ศ. 2544
พ.ศ. 2545 พันตำรวจโท ทักษิณ ชินวัตร เรียนให้สนุก เล่นให้มีความรู้ สู่อนาคตที่สดใส[1]
พ.ศ. 2546 เรียนรู้ตลอดชีวิต คิดอย่างสร้างสรรค์ ก้าวทันเทคโนโลยี[1]
พ.ศ. 2547 รักชาติ รักพ่อแม่ รักเรียน รักสิ่งดี ๆ อนาคตดีแน่นอน[1]
พ.ศ. 2548 เด็กรุ่นใหม่ ต้องขยันอ่าน ขยันเรียน กล้าคิด กล้าพูด[1]
พ.ศ. 2549 อยากฉลาด ต้องขยันอ่าน ขยันคิด[1]
พ.ศ. 2550 พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ มีคุณธรรมนำใจ ใช้ชีวิตพอเพียง หลีกเลี่ยงอบายมุข[1]
พ.ศ. 2551 สามัคคี มีวินัย ใฝ่เรียนรู้ เชิดชูคุณธรรม[1]
พ.ศ. 2552 อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ฉลาดคิด จิตบริสุทธิ์ จุดประกายฝัน ผูกพันรักสามัคคี[1]
พ.ศ. 2553 คิดสร้างสรรค์ ขยันใฝ่รู้ เชิดชูคุณธรรม[1]
พ.ศ. 2554 รอบคอบ รู้คิด มีจิตสาธารณะ[1]
พ.ศ. 2555 ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร สามัคคี มีความรู้ คู่ปัญญา คงรักษาความเป็นไทย ใส่ใจเทคโนโลยี[2]
พ.ศ. 2556 รักษาวินัย ใฝ่เรียนรู้ เพิ่มพูนปัญญา นำพาไทยสู่อาเซียน[1]
พ.ศ. 2557 กตัญญู รู้หน้าที่ เป็นเด็กดี มีวินัย สร้างไทย ให้มั่นคง[3]
พ.ศ. 2558 พลเอก ประยุทธ์ จันทร์โอชา ความรู้ คู่คุณธรรม นำสู่อนาคต[4]
พ.ศ2559 เด็กดี หมั่นเพียร เรียนรู้ สู่อนาคต[ต้องการอ้างอิง] 

ใบงานที่ 5 ตามใจฉัน

สตีเวน เจอร์ราร์ด

จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
สตีเวน เจอร์ราร์ด
Steven Gerrard in 2014.jpg
เจอร์ราร์ด ลงเล่นให้กับลิเวอร์พูล ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2014–15
ข้อมูลส่วนบุคคล
ชื่อเต็ม สตีเวน จอร์จ เจอร์ราร์ด[1]
วันเกิด 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1980 (35 ปี)[1]
ส่วนสูง 1.83 เมตร (6 ฟุต 0 นิ้ว)[2]
ตำแหน่ง กองกลาง
ข้อมูลสโมสร
สโมสรปัจจุบัน
ลอสแอนเจลิส แกแลกซี
หมายเลข 8
สโมสรเยาวชน
1987–1998 ลิเวอร์พูล
สโมสรอาชีพ*
ปี ทีม ลงเล่น (ประตู)
1998–2015 ลิเวอร์พูล 504 (120)
2015– แอลเอ แกแลกซี 13 (2)
ทีมชาติ
1999–2000 อังกฤษ U21 4 (1)
2000–2014 อังกฤษ 114 (21)
* นัดที่ลงเล่นและประตูที่ยิงให้สโมสรเฉพาะลีกในประเทศเท่านั้น ข้อมูลล่าสุด ณ วันที่ 28 กันยายน 2015 (UTC)
† ลงเล่น (ประตู)

สตีเวน จอร์จ เจอร์ราร์ด MBE[3] (อังกฤษ: Steven George Gerrard) เป็นนักฟุตบอลชาวอังกฤษ เจ้าของฉายา “สตีวีจี” เกิดเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม ค.ศ. 1980 ปัจจุบันเล่นให้กับลอสแอนเจลิส แกแลกซี เจอร์ราร์ดเล่นในตำแหน่งกองกลางสามารถเล่นได้หลายตำแหน่งทั้ง กองกลางตัวรุก, ปีกขวา, กองกลางตัวรับ และบางครั้งยังเล่นเป็น กองหน้าตัวต่ำ กับ แบ็กขวา ได้อีกด้วย.[4][5]

เจอร์ราร์ดอยู่กับสโมสรลิเวอร์พูล 17 ฤดูกาล ประเดิมสนามนัดแรกให้กับลิเวอร์พูลในปี 1998 และได้โอกาสเล่นทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลอย่างเต็มตัวในปี 2000 ก่อนจะได้รับแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมสโมสรฟุตบอลลิเวอร์พูลแทน ซามี ฮูเปีย แต่งตั้งโดย เฌราร์ อูลีเย ผู้จัดการทีมชาวฝรั่งเศส ในปี 2003 เจอร์ราร์ดใส่เสื้อหมายเลข 8 เจอร์ราร์ดได้รับการอวยยศเป็นสมาชิกแห่งจักรวรรดิบริเตน โดยสมเด็จพระราชินีนาถเอลิซาเบธที่ 2 แห่งสหราชอาณาจักร เมื่อวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 2007

วงการฟุตบอล[แก้]

ลิเวอร์พูล (1998–2015)[แก้]

ทิดเจิด หัวขิง เป็นผลผลิตของฟุตบอล อบต. ลิเวอร์พูล (Liverpool Youth Academy) โดยเข้าร่วมเป็นนักฟุตบอลเยาวชนของ อบต. ตั้งแต่อายุ 9 ขวบ โดยเริ่มแรกเลยเขาเล่นมิดฟิลด์ทางด้านขวา และมิดฟิลด์ตัวกลาง

ฤดูกาล 1998-1999 ในวันที่ 29 พฤศจิกายน ค.ศ. 1998 เจอร์ราร์ดได้ลงเล่นในทีมชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลเป็นนัดแรก ในนัดที่เปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับ แบล็กเบิร์นโรเวอส์ โดยสิ้นสุดฤดูกาลนี้เขาลงเล่นให้ทีม 12 นัดซึ่งส่วนใหญ่ยังเป็นตัวสำรอง

ฤดูกาล 1999-2000 เจอร์ราร์ดได้มีโอกาสเล่นชุดใหญ่ของลิเวอร์พูลอย่างเต็มตัว โดยเขาลงเล่น 29 นัด ยิงได้ 1 ประตู ประตูแรกของเจอร์ราร์ดเกิดขึ้นในนัดที่เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เชฟฟีลด์เวนส์เดย์ 4-1 ซึ่งเขาเปลี่ยนมาเล่นบทมิดฟิลด์ตัวปะทะ ทำให้ได้รับ ใบเหลือง และ ใบแดง บ่อยครั้ง

ฤดูกาล 2000-2001 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 33 นัด ยิงได้ 7 ประตู และลงเล่นในเกมยูฟ่าคัพ อีก 9 นัดทำได้ 2 ประตู พาทีมลิเวอร์พูลคว้าทริปเปิลแชมป์ ลีกคัพ , ยูฟ่าคัพ และ เอฟเอคัพ ในฤดูกาลเดียว รวมถึงทำประตูแรกในศึกแดงเดือดเอาชนะคู่ปรับตลอดกาล แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 2-0

ฤดูกาล 2001-2002 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 28 นัดยิงได้ 3 ประตู และช่วยให้ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 2 ทำให้ ลิเวอร์พูล จบอันดับเหนือกว่า แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาล ได้เป็นครั้งแรกในพรีเมียร์ลีก รวมถึงเอาชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ได้ทั้งเหย้าและเยือนอีกด้วย และในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ลงเล่น 12 นัดกับอีก 1 ประตู ด้วยผลงานยอดเยี่ยมทำให้เขาได้รับรางวัลนักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ (PFA Young Player of the Year) รวมถึงได้ถ้วยในประเทศ ชาริตีชีลด์ จากการเอาชนะคู่ปรับตลอดกาล แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 2-1

ฤดูกาล 2002-2003 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 34 นัด ยิงได้ 5 ประตู และช่วยให้ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 5 แต่ เจอร์ราร์ด ก็โดน ใบแดง ไล่ออกจากสนามในนัดสุดท้ายของฤดูกาลอีกด้วย และลงเล่นเกมยุโรปอีก 11 นัด และพาทีมคว้าแชมป์ลีกคัพ เอาชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด คู่ปรับตลอดกาล 2-0 โดย เจอร์ราร์ด และ ไมเคิล โอเวน ช่วยทำประตูในเกมนี้

ฤดูกาล 2003-2004 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 34 นัด ยิงได้ 4 ประตู และช่วยให้ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 4 ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้ไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และลงเล่นในเกมยูฟ่าคัพ 8 นัด ยิงได้ 2 ประตู และในฤดูกาลนี้เจอร์ราร์ดได้รับแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมคนใหม่ของลิเวอร์พูล แทนที่ ซามี ฮูเปีย

ฤดูกาล 2004-2005 เจอร์ราร์ดพาทีมลิเวอร์พูลเข้าชิงลีกคัพ กับ เชลซี แต่แพ้ไป 3-2 โดยเขาทำเข้าประตูตัวเองซึ่งเป็นประตูตีเสมอ 1-1 อีกด้วย[6] และเกือบจะย้ายไปเล่นให้กับ เชลซี แต่สุดท้าย เจอร์ราร์ด ตัดสินใจอยู่กับลิเวอร์พูลต่อไป ผลงานใน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก เจอร์ราร์ด ยิงประตูสุดสวยในนัดที่ชนะ โอลิมเปียกอส 3-1 ทำให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายได้อย่างปาฏิหาริย์[7] รอบต่อมา ลิเวอร์พูล ก็สามารถเอาชนะ ไบเออร์เลเวอร์คูเซิน 3-1 ได้ทั้ง 2 นัด และผ่านเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายไปเจอกับ ยูเวนตุส โดยนัดแรก ลิเวอร์พูล ชนะ 2-1 ที่แอนฟีลด์ นัดที่ 2 เสมอ 0-0 ทำให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบรองชนะเลิศ ไปเจอกับ เชลซี โดยนัดแรกเสมอ 0-0 ที่ สแตมฟอร์ด บริดจ์ นัดที่ 2 ลิเวอร์พูล ชนะ 1-0 ที่ แอนฟีลด์ ทำให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบชิงชนะเลิศ และ เจอร์ราร์ดก็สามารถพาทีมคว้าถ้วยยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก โดยเอาชนะ เอซี มิลาน จากการดวลจุดโทษ ซึ่งในครึ่งแรกมิลานนำอยู่ถึง 3-0 แต่ในครึ่งหลัง เจอร์ราร์ด ทำประตูตีไข่แตกไล่มาเป็น 1-3 และลิเวอร์พูลกลับมาตีเสมอ 3-3[8] [9] ในพรีเมียร์ลีก เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 30 นัดทำได้ 7 ประตู และช่วยให้ ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 5 ทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่ได้อันดับไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก แต่จากการที่ ลิเวอร์พูล คว้าแชมป์ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้ไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก

เจอร์ราร์ด ในปี ค.ศ. 2005

ฤดูกาล 2005-2006 เจอร์ราร์ดทำประตูตีเสมอ เวสต์แฮมยูไนเต็ด (3-3) ในรอบชิงชนะเลิศ เอฟเอคัพ ส่งให้ ลิเวอร์พูล เป็นแชมป์ในท้ายที่สุด จากการดวลจุดโทษ[10] [11] ประตูจากการยิงไกลระยะ 35 หลานี้เป็นหนึ่งในประตูยอดเยี่ยมของรอบชิงชนะเลิศตลอดกาล และทำให้ สตีเวน เจอร์ราร์ด เป็นนักเตะเพียงคนเดียวที่ทำประตูในรอบชิงชนะเลิศฟุตบอลถ้วย 4 รายการใหญ่ เช่น ยูฟ่าคัพ กับ อลาเบส, ลีกคัพ กับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด, ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก กับ เอซี มิลาน และ เอฟเอคัพ กับ เวสต์แฮมยูไนเต็ด ส่วนในพรีเมียร์ลีก เจอร์ราร์ดลงเล่น 32 นัด ยิงได้ 10 ประตู และช่วยให้ ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 3 เป็นรองแค่ เชลซี กับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด เท่านั้น ด้วยผลงานยอดเยี่ยมทำให้ เจอร์ราร์ด ได้รับรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีของพีเอฟเอ (PFA Players’ Player of the Year)[12]

เจอร์ราร์ด กำลังเล่นให้กับ ลิเวอร์พูลในฤดูกาล 2006–07

ฤดูกาล 2006-2007 แม้จะช่วยให้ลิเวอร์พูลสามารถผ่านเชลซี ได้จากการดวลจุดโทษ ในรอบรองชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ได้[13] และเข้าชิงกับ เอซี มิลาน อีกครั้ง แต่ก็ต้องพ่ายไป 2-1 สำหรับถ้วยในประเทศก็มีเพียง คอมมิวนิตีชีลด์ กับ เชลซี เท่านั้น โดยชนะไป 2-1 ส่วนในพรีเมียร์ลีก เจอร์ราร์ดลงเล่น 36 นัด ยิงได้ 7 ประตู และช่วยให้ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 3 เป็นฤดูกาลที่สองติดต่อกัน

ฤดูกาล 2007-2008 ลิเวอร์พูลจะไม่ได้แชมป์อะไรเลย แต่เจอร์ราร์ดสามารถช่วยให้ทีมจบอันดับ 4 ของตาราง ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้ไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และทำประตูได้มากที่สุดในทีม โดยยิงได้ 11 ประตู ในพรีเมียร์ลีก เป็นรองแค่ เฟร์นันโด ตอร์เรส ดาวยิงชาวสเปนคนใหม่ของทีมที่ค่าตัวแพงที่สุด ยิงไป 24 ประตู ย้ายมาจาก อัตเลตีโกมาดริด โดย เจอร์ราร์ด กับ ตอร์เรส ช่วยทำประตูให้ ลิเวอร์พูล รวมทั้งหมด 54 ประตู

ฤดูกาล 2008-2009 เจอร์ราร์ดไม่สามารถพาทีมได้แชมป์อะไรเลย แต่เจอร์ราร์ดพาทีมหงส์แดงเล่นได้ดีที่สุดในฤดูกาลก็ว่าได้ เพราะผลงานของลิเวอร์พูลในพรีเมียร์ลีกแม้ว่าจะได้แค่อันดับ 2 แต่ลิเวอร์พูลเป็นทีมที่แพ้น้อยที่สุด แพ้แค่ 2 นัดคือพ่ายต่อ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 2-1 และ มิดเดิลส์เบรอ 2-0 และฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลทำประตูมากที่สุดอันดับ 1 และเป็นทีมเดียวไม่แพ้ใครในบ้านทั้งฤดูกาลอีกด้วย และน่าทึ่งกว่านี้ในลีกหงส์แดงไม่แพ้ต่อทีม Big 4 ทั้ง เชลซี, แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด และ อาร์เซนอล โดย ชนะ เชลซี 1-0 (สแตมฟอร์ดบริดจ์) และ 2-0, ชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 2-1 และ 4-1 (โอลด์แทรฟฟอร์ด) [14] [15] และเสมอ อาร์เซนอล 1-1 (เอมิเรตส์สเตเดียม) และ 4-4 และฤดูกาลนี้เจอร์ราร์ดทำประตูมากที่สุดให้กับทีม โดยยิงได้ 16 ประตู ผลงาน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ของเจอร์ราร์ด ก็โชว์ผลงานได้ยอดเยี่ยม ลงเล่นเกมยุโรป 10 นัด ทำได้ 7 ประตู และทำประตูที่ 100 ให้กับ ลิเวอร์พูล ในนัดที่เจอกับ พีเอสวี ไอนด์โอเฟน รวมถึงทำ 2 ประตูในนัดที่เอาชนะ เรอัลมาดริด แชมป์ยุโรป 9 สมัย 4-0 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย นัดที่ 2 ที่แอนฟีลด์[16] นอกจากนี้เจอร์ราร์ดสามารถทำ แฮตทริก ได้ 1 ครั้งคือ ในนัดที่เจอกับ แอสตันวิลลา โดยลิเวอร์พูลชนะไป 5-0[17]

ฤดูกาล 2009-2010 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 33 นัด ยิงได้ 9 ประตู ถือว่าเป็นฤดูกาลที่ย่ำแย่ของลิเวอร์พูล โดยฤดูกาลนี้ลิเวอร์พูลทำผลงานได้แย่กว่าฤดูกาลที่แล้ว ผลงาน ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ของหงส์แดงตกรอบแบ่งกลุ่มอย่างรวดเร็ว ในเอฟเอคัพ ก็ตกรอบตั้งแต่รอบ 3 โดยพ่ายต่อ เรดิง 2-1 และที่แย่ไปกว่านั้น ผลงานในพรีเมียร์ลีก ลิเวอร์พูล ทำอันดับได้ต่ำที่สุดในรอบหลายปี โดยได้อันดับ 7 ซึ่งแตกต่างกับปีที่แล้วเป็นอย่างมาก โดยปีที่แล้วลิเวอร์พูลแพ้แค่ 2 นัดแต่ว่าปีนี้แพ้ถึง 11 นัด

เจอร์ราร์ด ในแมตช์เกียรติยศของ เจมี คาร์เรเกอร์ ปี ค.ศ. 2010

ฤดูกาล 2010-2011 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 21 นัด ยิงได้แค่ 4 ประตู เนื่องจาก เจอร์ราร์ดมีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ตลอดเวลา ทำให้ เจอร์ราร์ดต้องพักจนจบฤดูกาลก่อนเพื่อนร่วมทีม ผลงานในพรีเมียร์ลีก ได้อันดับ 6 ของตารางทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลยุโรป และในเอฟเอคัพ รอบ 3 ลิเวอร์พูล เจอกับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่ โอลด์แทรฟฟอร์ด แต่ก็แพ้ไป 1-0 และเจอร์ราร์ด ก็โดน ใบแดง ไล่ออกจากสนามอีกด้วย แต่ผลงานในยูโรปาลีก เจอร์ราร์ด สามารถทำแฮตทริกได้ ในนัดที่เจอกับ นาโปลี โดยลิเวอร์พูลชนะไป 3-1[18]

เจอร์ราร์ด ทำแฮตทริกในนัดที่เจอกับเอฟเวอร์ตัน

ฤดูกาล 2011-2012 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 18 นัด ยิงประตูไปได้ 5 ประตู ในฤดูกาลนี้ถือว่าเป็นยุคที่ตกต่ำของลิเวอร์พูลเลยก็ว่าได้ เนื่องจากได้อันดับ 8 ของตารางและขาดผู้เล่นหลัก ๆ ไปเยอะ และเจอร์ราร์ด ก็ไม่ได้ลงเล่นบ่อยมากนักโดยเฉพาะในช่วงต้นฤดูกาล ประตูแรกที่เจอร์ราร์ดยิงได้ในลีกฤดูกาลนี้คือในนัดที่เสมอกับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 1-1 แต่ในลีกคัพ รอบรองชนะเลิศ นัดแรก เขาก็ยิงประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี ถึง เอติฮัดสเตเดียม 1-0 ก่อนจะเสมอ 2-2 ในนัดที่ 2 ที่ แอนฟีลด์ และก็สามารถนำทีมได้แชมป์ ลีกคัพ มาได้ ด้วยการยิงจุดโทษตัดสินชนะ คาร์ดิฟฟ์ซิตีผลประตูรวม 3-2[19] และนำทีมไปสู่รอบชิงชนะเลิศ เอฟเอคัพ แต่ก็แพ้ เชลซี ไปด้วยสกอร์ 2-1 อย่างน่าเสียดาย ในฤดูกาลนี้เจอร์ราร์ดทำ แฮตทริก ได้ 1 ครั้งคือ ในนัดที่เจอกับ เอฟเวอร์ตัน โดยลิเวอร์พูลชนะไป 3-0 และเป็นการลงสนามนัดที่ 400 ในพรีเมียร์ลีก ของ เจอร์ราร์ด อีกด้วย[20] [21]

ฤดูกาล 2012-2013 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเกมลีก 36 นัด ยิงประตูไปได้ 9 ประตู ถือว่าเป็นฤดูกาลที่เจอร์ราร์ดลงสนามเป็นตัวจริงทุกนัด แต่ไม่ได้ลง 2 นัดสุดท้าย เนื่องจาก เจอร์ราร์ด ต้องผ่าตัดหัวไหล่หลังจากได้รับอาการบาดเจ็บจากเกมส์ที่เสมอกับ เอฟเวอร์ตัน 0-0 ประตูแรกที่เจอร์ราร์ดยิงได้ในลีกฤดูกาลนี้คือในนัดที่แพ้ให้กับแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด 2-1.[22] ผลงานในพรีเมียร์ลีกได้อันดับ 7 ของตารางทำให้ ลิเวอร์พูล ไม่ได้ไปเล่นฟุตบอลยุโรป และ เจอร์ราร์ดลงสนามนัดที่ 600 ในนัดที่เจอกับนิวคาสเซิลยูไนเต็ด

เจอร์ราร์ด ในแมตช์เกียรติยศของตนเอง ในวันที่ 3 สิงหาคม ค.ศ. 2013

ฤดูกาล 2013-2014 ในวันที่ 15 กรกฎาคม ค.ศ. 2013 เจอร์ราร์ดได้ต่อสัญญากับลิเวอร์พูลไปอีก 2 ปี.[23] ในช่วงปรีซีซั่น เจอร์ราร์ดได้นำทีมลิเวอร์พูล เดินทางมายังทวีปเอเชีย ด้วยการเยือนอินโดนีเซีย ออสเตรเลีย และประเทศไทย[24] ในวันที่ 3 สิงหาคม ค.ศ. 2013 เจอร์ราร์ดได้มีแมตช์เกียรติยศของตนเอง ในนัดที่เจอกับ โอลิมเปียกอส ในวันที่ 5 ตุลาคม ค.ศ. 2013 เจอร์ราร์ดได้ทำประตูในพรีเมียร์ลีก เป็นฤดูกาลที่ 15 ติดต่อกัน ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ คริสตัลพาเลซ 3-1 ต่อมา ในวันที่ 19 ตุลาคม ค.ศ. 2013 เจอร์ราร์ดได้ทำประตูในพรีเมียร์ลีกลูกที่ 100 ในนัดที่เสมอกับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ที่เซนต์เจมส์พาร์ก 2-2[25] [26]

เจอร์ราร์ด ลงเล่นให้กับลิเวอร์พูล ในนัดที่เจอกับ คาร์ดิฟฟ์ซิตี ในเดือนมีนาคม ปี 2014

ในวันที่ 12 มกราคม ค.ศ. 2014 เจอร์ราร์ดได้ยิงจุดโทษให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ สโตกซิตี 3-2 ก่อนจะเอาชนะไป 5-3[27] [28] ต่อมา ในวันที่ 18 มกราคม ค.ศ. 2014 เจอร์ราร์ดได้ทำประตูที่ 5 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เสมอกับ แอสตันวิลลา 2-2[29] ต่อมา ในวันที่ 28 มกราคม ค.ศ. 2014 เจอร์ราร์ดได้ทำประตูที่ 6 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ เอฟเวอร์ตัน 4-0[30] [31] ต่อมา ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2014 เจอร์ราร์ดได้ยิงจุดโทษเป็นประตูชัยในช่วงทดเวลาบาดเจ็บช่วยให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ฟูลัม ที่เครเวนคอตทิจ 3-2[32]

ในวันที่ 16 มีนาคม ค.ศ. 2014 เจอร์ราร์ดได้ยิงจุดโทษเข้า 2 ประตู และยิงจุดโทษพลาด 1 ลูก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ที่โอลด์แทรฟฟอร์ด 3-0[33] [34] ด้วยผลงานยอดเยี่ยมทำให้ เจอร์ราร์ด ได้รางวัลผู้เล่นยอดเยื่ยมประจำเดือนมีนาคม ของ พรีเมียร์ลีก ร่วมกับ ลุยส์ ซัวเรซ[35] ต่อมา ในวันที่ 6 เมษายน ค.ศ. 2014 เจอร์ราร์ด ได้ยิงจุดโทษ 2 ประตู ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด ที่บุลินกราวนด์ 2-1[36] ต่อมา ในวันที่ 13 เมษายน ค.ศ. 2014 เจอร์ราร์ด ได้นำทีม ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี 3-2 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำจ่าฝูงและลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีกต่อไป หลังจบเกม เจอร์ราร์ด ถึงกับร้องไห้ออกมาด้วยความตื้นตันใจ ที่ทีมขยับเข้าใกล้การคว้าแชมป์ที่เจ้าตัวรอคอยมานาน นักเตะลิเวอร์พูลต่างวิ่งมารวมกัน เจอร์ราร์ด บอกกับลูกทีมว่า “เกมนี้จบไปแล้ว นัดหน้าเราไปเยือนนอริช แล้วทำเหมือนเดิม เราต้องไปด้วยกัน”[37] [38] ต่อมา ในวันที่ 27 เมษายน ค.ศ. 2014 ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับ เชลซี ในนัดนี้ ลิเวอร์พูล จะต้องชนะเพื่อโอกาสในการคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก แต่ในนาทีสุดท้ายของครึ่งแรก เจอร์ราร์ด พลาดลื่นล้ม ทำให้โดน แดมบา บา ฉกบอลหลุดเดี่ยวไปยิงประตูขึ้นนำให้ เชลซี สุดท้าย ลิเวอร์พูล พ่ายแพ้ไป 0-2 ก่อนจะเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ ทำให้ แมนเชสเตอร์ซิตี ฉวยโอกาสแซงขึ้นนำเป็นจ่าฝูง และเจอร์ราร์ด พยายามฆ่าตัวตาย ต่อมา เจอร์ราร์ด ได้ติด 1 ใน 6 เข้าชิงรางวัลนักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ รวมทั้ง เจอร์ราร์ด ยังได้ติดทีมยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ ร่วมกับ ลุยส์ ซัวเรซ และ แดเนียล สเตอร์ริดจ์ 2 นักเตะของลิเวอร์พูล อีกด้วย ต่อมา ในวันที่ 5 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 ลิเวอร์พูล บุกไปเยือนที่ เซลเฮิสต์พาร์ก เจอกับ คริสตัลพาเลซ ในนัดนี้ ลิเวอร์พูล จะต้องชนะเพื่อลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก กับ แมนเชสเตอร์ซิตี โดย ลิเวอร์พูล ออกนำ 3-0 แต่สุดท้าย ลิเวอร์พูล โดนตีเสมอในช่วงท้าย ทำให้จบด้วยผลเสมอกัน 3-3 หลังจบเกม ซัวเรซ ก้มหน้าร่ำไห้ด้วยความผิดหวัง เจอร์ราร์ด เลยต้องเข้าไปปลอบใจเขา ทำให้ โอกาสลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก ของ ลิเวอร์พูล เหลือน้อยมาก ต่อมา ในวันที่ 11 พฤษภาคม ค.ศ. 2014 นัดปิดฤดูกาล ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด ในนัดนี้ ลิเวอร์พูล จะต้องชนะ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด และต้องลุ้นให้ เวสต์แฮมยูไนเต็ด เอาชนะ แมนเชสเตอร์ซิตี ที่เอติฮัดสเตเดียม ลิเวอร์พูล ก็จะได้แชมป์พรีเมียร์ลีก โดย ลิเวอร์พูล เอาชนะ นิวคาสเซิลยูไนเต็ด 2-1 แต่สุดท้าย แมนเชสเตอร์ซิตี เอาชนะ เวสต์แฮมยูไนเต็ด 2-0 ทำให้ ลิเวอร์พูลพลาดโอกาสคว้าแชมป์พรีเมียร์ลีก อย่างน่าเสียดาย จบฤดูกาล เจอร์ราร์ดยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 13 ประตู จาก 34 นัด ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 2 ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้กลับไปเล่นยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก นับตั้งแต่ในปี 2009[39]

ฤดูกาล 2014-2015 ในวันที่ 31 สิงหาคม ค.ศ. 2014 เจอร์ราร์ดได้ยิงจุดโทษให้ ลิเวอร์พูล เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ ที่ไวต์ฮาร์ตเลน 3-0[40] ทำให้ เจอร์ราร์ดได้ทำประตูในพรีเมียร์ลีก เป็นฤดูกาลที่ 16 ติดต่อกัน ต่อมา ในวันที่ 16 กันยายน ค.ศ. 2014 เจอร์ราร์ดได้ยิงจุดโทษให้ ลิเวอร์พูล ในยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2014–15 รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม B นัดที่ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ลูโดโกเร็ตส์ ราซกราด จาก บัลแกเรีย 2-1[41] ต่อมา ในวันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 2014 เจอร์ราร์ดได้ยิงฟรีคิกให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ เอฟเวอร์ตัน 1-0 แต่สุดท้ายก็โดนตีเสมอในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ[42] ต่อมา ในวันที่ 2 ธันวาคม ค.ศ. 2014 เจอร์ราร์ด ได้ทำประตูที่ 3 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เอาชนะ เลสเตอร์ซิตี ที่คิง เพาเวอร์ สเตเดียม 3-1[43] ต่อมา ในวันที่ 9 ธันวาคม ค.ศ. 2014 ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก รอบแบ่งกลุ่ม กลุ่ม B นัดสุดท้าย ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เจอกับ บาเซิล จากสวิตเซอร์แลนด์ โดย ลิเวอร์พูล จะต้องชนะเท่านั้น ถึงจะผ่านเข้ารอบต่อไป สุดท้าย เจอร์ราร์ด ได้ยิงฟรีคิกให้ ลิเวอร์พูล ไล่ตีเสมอ 1-1 แต่ ลิเวอร์พูล ต้องกระเด็นตกรอบจากการได้อันดับ 3 ของกลุ่ม ทำให้ ลิเวอร์พูล ต้องไปเล่นยูฟ่ายูโรปาลีก[44] แต่ประตูนี้ของเจอร์ราร์ดทำให้ได้รับการโหวตเป็นประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนธันวาคมจาก EA SPORT[45]

ในวันที่ 1 มกราคม ค.ศ. 2015 เจอร์ราร์ดได้ยิงจุดโทษเข้า 2 ประตูให้ ลิเวอร์พูล ขึ้นนำ เลสเตอร์ซิตี 2-0 แต่สุดท้ายก็โดนตีเสมอ 2-2 ในช่วงครึ่งหลัง[46] ต่อมา ในวันที่ 2 มกราคม ค.ศ. 2015 ลิเวอร์พูลได้ประกาศยอมรับว่า สตีเวน เจอร์ราร์ด ตัดสินใจที่จะย้ายออกจากสโมสรหลังจบฤดูกาลนี้ในแบบไม่มีค่าตัว หลังจากมีข่าวคราวมาก่อนหน้านั้นว่าเจ้าตัวเตรียมตัวจะย้ายออกไป โดยคาดหมายว่าเป็น ลอสแอนเจลิส แกแลกซี ในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ ของสหรัฐอเมริกา ที่เจอราร์ดจะย้ายเข้าสังกัด[47] [48] [49] จากการแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ เจ้าตัวได้เปิดเผยสาเหตุที่แท้จริงว่า เป็นเพราะในระยะหลังที่การเล่นตกลงเนื่องจากอายุที่มากขึ้น จึงไม่อาจรับได้ที่จะต้องกลายมาเป็นตัวสำรอง และนี่เป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากที่สุดในชีวิต[50] และในการเล่นนัดต่อมาหลังจากการประกาศย้ายออก ในรายการเอฟเอคัพ 2014–15 รอบ 3 ที่ลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายบุกไปเยือน วิมเบิลดัน เจอราร์ดก็เป็นผู้ทำประตูเพียงคนเดียว 2 ประตู ทำให้ลิเวอร์พูลเอาชนะไปได้ 1-2 ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ผ่านเข้ารอบ 4 เอฟเอคัพ ได้สำเร็จ[51] [52] ต่อมา ในวันที่ 4 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2015 เอฟเอคัพ รอบสี่ นัดรีเพลย์ เจอร์ราร์ด ลงสนามนัดที่ 700 ให้กับลิเวอร์พูล ในนัดที่เอาชนะ โบลตันวอนเดอเรอส์ ที่มาครอน สเตเดียม 2-1 ต่อมา ในวันที่ 10 กุมภาพันธ์ ค.ศ. 2015 เจอร์ราร์ดได้ยิงจุดโทษให้ ลิเวอร์พูล ในนัดที่เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ทอตนัมฮอตสเปอร์ 3-2[53]

ในวันที่ 22 มีนาคม ค.ศ. 2015 ในนัดที่ลิเวอร์พูล พบกับ แมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ซึ่งเป็นคู่ปรับตลอดกาล ในศึกแดงเดือด ที่สนามแอนฟีลด์ เจอราร์ดถูกเปลี่ยนตัวลงมาในครึ่งหลัง แทนที่ แอดัม ลัลลานา และรับหน้าที่กัปตันทีม ซึ่งในขณะนั้น ลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายตามอยู่ 0-1 ปรากฏว่าเจอราร์ดไปเจตนาเหยียบเท้าของ อันเดร์ เอร์เรรา ผู้เล่นของแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด ทำให้กรรมการตัดสินใจให้ใบแดงไล่ออกทันที ทั้งที่เพิ่งลงไปเล่นได้เพียง 38 วินาทีเท่านั้น นับเป็นการปิดฉากการเล่นในศึกแดงเดือดครั้งสุดท้ายของเจอราร์ดอย่างรวดเร็ว และยังทำสถิติเป็นผู้เล่นที่ถูกใบแดงเร็วที่สุดในประวัติศาสตร์ของพรีเมียร์ลีกอีกด้วย ซึ่งผลการแข่งขันปรากฏว่าลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายแพ้ไป 2-1[54]

ในวันที่ 19 เมษายน ค.ศ. 2015 เอฟเอคัพรอบรองชนะเลิศ ลิเวอร์พูลเป็นฝ่ายแพ้ต่อ แอสตันวิลลา 2-1 ที่สนามกีฬาเวมบลีย์ ทำให้ความหวังของเจอร์ราร์ดที่ต้องการจะนำพาทีมเป็นแชมป์ในรายการนี้ ซึ่งจะมีรอบชิงชนะเลิศในวันที่ 30 พฤษภาคม ปีเดียวกัน ซึ่งตรงกับวันครบรอบวันเกิดของเจ้าตัวครบ 35 ปีเต็ม ซึ่งจะเป็นแชมป์รายการสุดท้ายกับลิเวอร์พูลต้องสลายลงไป[55] ต่อมา ในวันที่ 25 เมษายน ค.ศ. 2015 เจอร์ราร์ดได้ทำสถิติเป็นนักเตะรายที่ 12 ที่ได้ลงสนามในศึก พรีเมียร์ลีก อังกฤษ ทะลุถึงหลัก 500 นัด ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ เวสต์บรอมมิชอัลเบียน 0-0 ต่อมา ในวันที่ 26 เมษายน ค.ศ. 2015 เจอร์ราร์ดได้รับรางวัลบุคคลทรงคุณค่าของสมาคมนักฟุตบอลอาชีพอังกฤษ (พีเอฟเอ) ร่วมกับ แฟรงก์ แลมพาร์ด อดีตเพื่อนร่วมทีมชาติอังกฤษ นับเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ปี 2012 ที่ พีเอฟเอ มีการมอบรางวัลทรงคุณค่า โดยคนดังที่เคยได้รางวัลนี้มีอย่างเช่น เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ตำนานผู้จัดการทีม แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด, บิลล์ แชงค์ลี่ย์ ตำนานกุนซือ ลิเวอร์พูล, บ็อบ เพสลี่ย์ ตำนานนายใหญ่ “หงส์แดง”, ไบรอัน คลัฟ อดีตกุนซือฝีมือดี, เปเล่ ตำนานกองหน้าชาวบราซิเลียน, ยูเซบิโอ อดีตยอดกองหน้าทีมชาติโปรตุเกส และ จอร์จ เบสต์ ตำนานดาวเตะชาวไอร์แลนด์เหนือของ แมนฯ ยูไนเต็ด เป็นต้น[56] ต่อมา ในวันที่ 2 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 เจอร์ราร์ดได้ยิงจุดโทษพลาดแต่ก็โหม่งทำประตูชัยให้ ลิเวอร์พูล เปิดสนามแอนฟีลด์เอาชนะ ควีนส์พาร์กเรนเจอส์ 2-1[57] ทำให้กัปตันทีมลิเวอร์พูลขึ้นไปรั้งอันดับ 5 ในอันดับดาวซัลโวตลอดกาลของสโมสรที่ 184 ประตูแซง ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ อดีตหัวหอกทีมชาติอังกฤษ[58] ต่อมา ในวันที่ 10 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 เจอร์ราร์ดได้ทำประตูที่ 8 ในพรีเมียร์ลีก ในนัดที่ ลิเวอร์พูล เสมอกับ เชลซี ที่สแตมฟอร์ดบริดจ์ 1-1[59]

ในวันที่ 16 พฤษภาคม ค.ศ. 2015 สตีเวน เจอร์ราร์ด เล่นให้กับลิเวอร์พูลเป็นครั้งสุดท้ายที่สนามแอนฟีลด์ ในนัดรองสุดท้ายของฤดูกาลของลิเวอร์พูล ด้วยเป็นฝ่ายแพ้ต่อ คริสตัลพาเลซ 1-3 ทั้งที่ยิงนำไปก่อนจาก แอดัม ลัลลานา ในนาทีที่ 26 ทำให้ลิเวอร์พูลไม่สามารถไปเล่นในรายการยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก และอาจจะส่อแววว่าจะไม่ได้เล่นในยูฟ่ายูโรปาลีกอีกด้วย[60] [61] ต่อมา ในวันที่ 19 พฤษภาคม ปีเดียวกัน เจอร์ราร์ดคว้ารางวัลผู้ประสบความสำเร็จในอาชีพกับลิเวอร์พูล ในงานประกาศรางวัลผู้เล่นแห่งปี 2015 โดยงานประกาศรางวัลจัดขึ้นที่ เอ็คโค่อารีน่า[62]

และในนัดสุดท้ายของฤดูกาล ลิเวอร์พูลก็เป็นฝ่ายแพ้ต่อ สโตกซิตี ไปมากถึง 6-1 ที่สนามบริแทนเนียสเตเดียม ถึงแม้ว่าเจอร์ราร์ดจะเป็นผู้ยิงประตูให้ลิเวอร์พูลได้ก็ตาม แต่ถึงอย่างไร ผลการแข่งขันในนัดนี้กลายมาเป็นสถิติที่ลิเวอร์พูลแพ้มากที่สุดในรอบ 52 ปี และเป็นสถิติที่แพ้มากที่สุดนับตั้งแต่มีการก่อตั้งพรีเมียร์ลีกขึ้นมาอีกด้วย[63] [64] จบฤดูกาล เจอร์ราร์ดยิงประตูในพรีเมียร์ลีกได้ 9 ประตูจาก 29 นัด ช่วยให้ ลิเวอร์พูล ได้อันดับ 6 ทำให้ ลิเวอร์พูล ได้ไปเล่นยูฟ่ายูโรปาลีก

ลอสแอนเจลิส แกแลกซี (2015–ปัจจุบัน)[แก้]

เจอร์ราร์ดเล่นให้กับลอสแอนเจลิส แกแลกซีในปี ค.ศ. 2015

ในวันที่ 11 กรกฎาคม ค.ศ. 2015 เจอร์ราร์ดลงเล่นนัดแรกให้กับ ลอสแอนเจลิส แกแลกซี โดยลงเล่น 45 นาทีแรก ในนัดที่อุ่นเครื่องกระชับมิตรเอาชนะ คลับ อเมริกา 2-1 ต่อมา ในวันที่ 14 กรกฎาคม ค.ศ. 2015 เจอร์ราร์ดลงเล่นนัดที่สองโดยเป็นนัดแรกอย่างเป็นทางการในฟุตบอลถ้วยยูเอสโอเพนคัพ พ่ายแพ้ให้กับ รีล ซอลต์ 0-1 ต่อมา ในวันที่ 17 กรกฎาคม ค.ศ. 2015 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์เป็นนัดแรกและยิงประตูแรกให้กับ ลอสแอนเจลิส แกแลกซี รวมถึงเปิดบอลให้อดีตเพื่อนร่วมทีมสโมสรลิเวอร์พูล ร็อบบี คีน กัปตันทีมลอสแอนเจลิส แกแลกซี ทำประตูในนัดที่ ลอสแอนเจลิส แกแลกซี เอาชนะ ซาน โฮเซ่ เอิร์ธเควกส์ 5-2 ต่อมา ในวันที่ 27 กันยายน ค.ศ. 2015 เจอร์ราร์ด ทำประตูที่ 2 ในเมเจอร์ลีกซอกเกอร์ ในนัดที่ ลอสแอนเจลิส แกแลกซี เอาชนะ FC Dallas 3-2

ในวันที่ 28 ตุลาคม ค.ศ. 2015 เจอร์ราร์ดลงเล่นในเพลย์ออฟ เมเจอร์ลีกเจอกับ ซีเอตเติล ซาวน์เดอร์ สุดท้าย ลอสแอนเจลิส แกแลกซี เป็นฝ่ายแพ้ไป 2-3 ทำให้ไม่สามารถพา ลอสแอนเจลิส แกแลกซี ป้องกันแชมป์ลีกได้

ทีมชาติอังกฤษ[แก้]

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2000 เจอร์ราร์ดถูกเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษเป็นครั้งแรก และมีชื่อติดทีมชาติอังกฤษชุดยูโร 2000 แต่เขาก็ได้แต่นั่งดูเกมในม้านั่งสำรองเท่านั้น

ฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ด ทำผลงานได้ยอดเยี่ยมใน ฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก โดยเจอร์ราร์ดได้ทำไป 1 ประตู ในนัดที่เจอกับ เยอรมัน โดยอังกฤษชนะไป 5-1 เป็นประตูแรกของเจอร์ราร์ดในนามทีมชาติ และพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม 9 อังกฤษชนะ 5 เสมอ 2 แพ้ 1 และพาทีมเข้าไปเล่น ฟุตบอลโลก 2002 รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ

ฟุตบอลโลก 2002 เจอร์ราร์ด ถูกเรียกตัวติดทีมชาติอังกฤษชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2002 ที่ประเทศเกาหลีใต้ และ ญี่ปุ่น แต่เขาเกิดมีอาการบาดเจ็บทำให้ไม่สามารถเดินทางร่วมทีมไปแข่งขันฟุตบอลโลกได้

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดได้ทำไป 1 ประตู ในนัดที่เจอกับ มาซิโดเนีย และพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม 7 อังกฤษชนะ 6 เสมอ 2 ไม่แพ้ใคร ทำให้เจอร์ราร์ดพาทีมเข้าไปเล่นฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 เจอร์ราร์ดถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษชุดลุยศึกฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 ที่โปรตุเกส โดยเจอร์ราร์ดยิงได้ 1 ประตู ในนัดที่เจอกับ สวิตเซอร์แลนด์และพาทีมได้อันดับ 2 ของกลุ่ม B อังกฤษชนะ 2 แพ้ 1 (แพ้ ฝรั่งเศส 1-2, ชนะ สวิตเซอร์แลนด์ 3-0 และ ชนะ โครเอเชีย 4-2) โดยพาทีมเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายเจอกับ โปรตุเกสเจ้าภาพ แต่พ่ายในการดวลจุดโทษ

ฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดยิงได้ 2 ประตู ในนัดที่เจอกับ ออสเตรีย และ อาเซอร์ไบจาน โดยเจอร์ราร์ดพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม 6 โดยอังกฤษชนะ 8 เสมอ 1 แพ้ 1 และพาทีมเข้าไปเล่น ฟุตบอลโลก 2006 รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ

ฟุตบอลโลก 2006 เจอร์ราร์ดถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2006 ครั้งแรกที่ ประเทศเยอรมัน หลังจากเมื่อปี 2002 เขาไม่สามารถเดินทางร่วมทีมไปแข่งขันฟุตบอลโลกได้ โดยเจอร์ราร์ดยิงได้ 2 ประตู ในนัดที่เจอกับ ตรินิแดดและโตเบโก และ สวีเดน ในฟุตบอลโลกครั้งนี้และพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม B โดยอังกฤษชนะ 2 เสมอ 1 (ชนะ ปารากวัย 1-0, ชนะ ตรินิแดดและโตเบโก 2-0 และ เสมอ สวีเดน 2-2) และพาทีมเอาชนะ เอกวาดอร์ 1-0 ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย โดยพาทีมชาติอังกฤษเข้ารอบ 8 ทีมสุดท้ายเจอกับ โปรตุเกส แต่พ่ายในการดวลจุดโทษ หลังเสมอ 0-0 ใน 90 นาที ทำให้อังกฤษต้องตกรอบรอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันในฟุตบอลโลกหลังจากเมื่อปี 2002 พ่ายให้กับทีมชาติบราซิล ในรอบเดียวกัน

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดได้รับตำแหน่งได้เป็น รองกัปตันทีม ฟุตบอลทีมชาติอังกฤษ โดยได้รับตำแหน่งจาก สตีฟ แม็คคลีน โค้ชชาวอังกฤษ และ จอห์น เทร์รี ได้รับตำแหน่งเป็นกัปตันทีมอีกครั้ง โดยในรอบคัดเลือกในปี ค.ศ. 2006 อังกฤษได้อยู่สายเดียวกับ โครเอเชีย และ รัสเซีย กับ อิสราเอล และอีก 3 ทีมอื่น ๆ แต่แล้วพอเสร็จสิ้นการแข่งขัน อังกฤษก็ไม่ได้เข้ารอบอย่างน่าเสียดาย โดย โครเอเชีย และ รัสเซีย เป็นทื่ 1 และ 2 ตามลำดับ และอังกฤษเป็นทื่ 3 โดยเจอร์ราร์ดได้ทำไป 3 ประตู ในนัดที่เจอกับ อันดอร์รา ทั้ง 2 นัด โดยอังกฤษชนะไป 5-0 และ 3-0

ฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดยิงได้ 3 ประตู ในนัดที่เจอกับ เบลารุส และ โครเอเชีย อีก 2 ประตู โดยเจอร์ราร์ดพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม 6 อังกฤษชนะ 9 แพ้ 1 และพาทีมเข้าไปเล่น ฟุตบอลโลก 2010 รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ

ฟุตบอลโลก 2010 เจอร์ราร์ดถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2010 ที่ แอฟริกาใต้ โดยครั้งนี้เจอร์ราร์ดได้เป็นกัปตันทีมแทน ริโอ เฟอร์ดินานด์ ที่ได้รับบาดเจ็บและถอนตัว และเจอร์ราร์ดเป็นคนที่ทำประตูแรกให้กับอังกฤษในฟุตบอลโลกครั้งนี้ ในนัดที่ทีมชาติอังกฤษ เสมอกับ สหรัฐอเมริกา 1-1 ในฟุตบอลโลกครั้งนี้ทีมชาติอังกฤษชนะในการแข่งขันแค่นัดเดียวโดยชนะ สโลวีเนีย 1-0 เสมออีก 2 นัด โดยทีมชาติอังกฤษผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายเจอกับ ทีมชาติเยอรมัน และอังกฤษต้องพ่ายแพ้ให้กับทีมชาติเยอรมัน 1-4 ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องจบเส้นทางฟุตบอลโลกที่แอฟริกาใต้เพียงเท่านี้ และเป็นการเล่นในฟุตบอลโลกที่ย่ำแย่ที่สุดของทีมชาติอังกฤษ และทีมชาติอังกฤษยิงประตูรวมทั้งหมดได้แค่ 3 ประตู และเสียไป 5 ประตู

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดไม่ได้ลงเล่นบ่อยมากนัก เนื่องจาก เจอร์ราร์ด มีปัญหาอาการบาดเจ็บรบกวนอยู่ตลอดเวลา แต่ก็พาทีมชาติอังกฤษได้อันดับ 1 ของกลุ่ม G โดยอังกฤษชนะ 5 เสมอ 3 ไม่แพ้ใคร และเจอร์ราร์ดพาทีมเข้าไปเล่น ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ

เจอร์ราร์ด ลงเล่นให้กับทีมชาติอังกฤษ เจอกับ ดานีเอเล เด รอสซี กองกลางทีมชาติอิตาลี ในศึก ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012

ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2012 เจอร์ราร์ดถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษชุดลุยศึกยูโร 2012 ที่โปแลนด์ และ ยูเครน โดยครั้งนี้เจอร์ราร์ดได้รับแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมชาติอีกด้วย และพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม D อังกฤษชนะ 2 เสมอ 1 (เสมอ ฝรั่งเศส 1-1, ชนะ สวีเดน 3-2 และ ชนะ ยูเครน 1-0) โดยพาทีมเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้ายเจอกับ อิตาลี แต่พ่ายในการดวลจุดโทษ 2-4 หลังเสมอ 0-0 ใน 90 นาที ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องตกรอบรอบ 8 ทีมสุดท้ายเป็นครั้งที่ 2 ติดต่อกันในฟุตบอลยูโร

ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก เจอร์ราร์ดยิงได้ 2 ประตู ในนัดที่เจอกับ มอลโดวา และ โปแลนด์ โดยเจอร์ราร์ดพาทีมได้อันดับ 1 ของกลุ่ม H อังกฤษชนะ 6 เสมอ 4 ไม่แพ้ใคร และพาทีมเข้าไปเล่น ฟุตบอลโลก 2014 รอบสุดท้าย ได้สำเร็จ

เจอร์ราร์ด (ซ้าย) กัปตันทีมชาติอังกฤษ เดินจับมือกับ ลุยส์ ซัวเรซ อดีตเพื่อนร่วมทีมสโมสรลิเวอร์พูล กองหน้าทีมชาติอุรุกวัย ในศึกฟุตบอลโลก 2014

ฟุตบอลโลก 2014 เจอร์ราร์ดถูกเรียกติดทีมชาติอังกฤษชุดลุยศึกฟุตบอลโลก 2014 ที่ บราซิล โดยครั้งนี้เจอร์ราร์ดได้รับแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมชาติ อังกฤษ ได้อยู่กลุ่ม D ร่วมกับ อุรุกวัย, คอสตาริกา และอิตาลี แต่สุดท้าย อังกฤษ ก็ต้องตกรอบแรก ได้อันดับสุดท้ายของกลุ่ม D เสมอ 1 แพ้ 2 (แพ้ อิตาลี 1-2, แพ้ อุรุกวัย 1-2 และ เสมอ คอสตาริกา 0-0) ทำให้ทีมชาติอังกฤษต้องจบเส้นทางฟุตบอลโลกที่บราซิลเพียงรอบแรกเท่านั้น และเป็นครั้งแรกในรอบ 56 ปีด้วย ที่อังกฤษตกรอบแรกฟุตบอลโลก

ในวันที่ 21 กรกฎาคม ค.ศ. 2014 หลังจากจบฟุตบอลโลก เจอร์ราร์ดก็ตัดสินใจอำลาทีมชาติเรียบร้อยแล้วหลังอยู่รับใช้มายาวนาน 14 ปี[65] [66]

เจอร์ราร์ดประเดิมสนามนัดแรกให้กับทีมชาติในปี 2000 โดยเป็นเกมที่เอาชนะยูเครน 2-0 ณ สนามเวมบลีย์และเขาก็ผ่านการรับใช้ชาติมา 114 นัดยิงได้ 21 ประตูรวมถึงพาทีมไปลุยทัวร์นาเมนต์ใหญ่ ๆ มาแล้วถึง 6 ครั้ง ทัวร์นาเมนต์ของเจอร์ราร์ดหนแรกมาในช่วงยุคที่ เควิน คีแกน ยังคุมอยู่โดยเขาเป็นส่วนนึงของอังกฤษชุดลุยยูโร 2000 ถือเป็นยูโรหนแรกของเขาก่อนจะตามมาด้วยยูโรปี 2004 ที่โปรตุเกสและในปี 2012 ที่ยูเครนกับโปแลนด์

ถึงแม้พลาดฟุตบอลโลก 2002 ไปเพราะบาดเจ็บแต่ก็ผ่านฟุตบอลโลกมาแล้ว 3 สมัยเริ่มต้นที่เยอรมนีในปี 2006 ตามด้วยแอฟริกาใต้เมื่อปี 2010 และที่บราซิลในปีนี้ สรุปแล้วเขาได้ลงเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายไป 12 นัดยิงได้ 3 ประตู เจอร์ราร์ดผ่านการเป็นกัปตันทีมของอังกฤษมาทั้งหมด 38 นัดและเป็นนักเตะที่ติดทีมชาติมากที่สุดเป็นอันดับ 3 ต่อจาก ปีเตอร์ ชิลตัน (125 นัด) และเดวิด เบคแคม(115 นัด) เขาเป็นหนึ่งในนักเตะที่ได้เล่นทีมชาติทะลุ 100 นัดเช่นเดียวกับ บ็อบบี้ มัวร์ (108 นัด), แอชลีย์ โคล (107 นัด), บ็อบบี้ ชาร์ลตัน (106 นัด), แฟรงก์ แลมพาร์ด (106 นัด) และบิลลี ไรต์ (105 นัด)

ประตูในนามทีมชาติ[แก้]

# วันที่ สนาม นัดที่ คู่แข่งขัน ประตู ผล การแข่งขัน
1 1 กันยายน 2001 โอลิมเปียชตาดิโยน, เยอรมนี 6 ธงชาติเยอรมนี เยอรมนี 2–1 5–1 ฟุตบอลโลก 2002 รอบคัดเลือก[67]
2 16 ตุลาคม 2002 เซนต์แมรีส์สเตเดียม, อังกฤษ 13 Flag of the Republic of Macedonia FYR Macedonia 2–2 2–2 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004 รอบคัดเลือก[68]
3 3 มิถุนายน 2003 คิงพาวเวอร์สเตเดียม, อังกฤษ 17 ธงชาติเซอร์เบียและมอนเตเนโกร เซอร์เบียและมอนเตเนโกร 1–0 2–1 เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร[69]
4 17 มิถุนายน 2004 เอสตาดีอูคีเดดเดโคอิมบรา, โปรตุเกส 26 ธงชาติสวิตเซอร์แลนด์ สวิตเซอร์แลนด์ 3–0 3–0 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2004[70]
5 4 กันยายน 2004 เอรินทส์-ฮาปเปล-ซตาดิโยน, ออสเตรีย 30 ธงชาติออสเตรีย ออสเตรีย 2–0 2–2 ฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือก[71]
6 30 มีนาคม 2005 เซนต์เจมส์พาร์ก, อังกฤษ 34 ธงชาติอาเซอร์ไบจาน อาเซอร์ไบจาน 1–0 2–0 ฟุตบอลโลก 2006 รอบคัดเลือก[72]
7 30 พฤษภาคม 2006 โอลด์แทรฟฟอร์ด, อังกฤษ 41 ธงชาติฮังการี ฮังการี 1–0 3–1 เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร[73]
8 15 มิถุนายน 2006 กรึนดิกซตาดิโยน, เยอรมนี 44 ธงชาติตรินิแดดและโตเบโก ตรินิแดดและโตเบโก 2–0 2–0 ฟุตบอลโลก 2006[74]
9 20 มิถุนายน 2006 RheinEnergie Stadion, เยอรมนี 45 ธงชาติสวีเดน สวีเดน 2–1 2–2 ฟุตบอลโลก 2006[75]
10 2 กันยายน 2006 โอลด์แทรฟฟอร์ด, อังกฤษ 49 ธงชาติอันดอร์รา อันดอร์รา 2–0 5–0 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 รอบคัดเลือก[76]
11 28 มีนาคม 2007 Olympic Stadium, สเปน 55 ธงชาติอันดอร์รา อันดอร์รา 1–0 3–0 ฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 2008 รอบคัดเลือก[77]
12 2–0
13 28 พฤษภาคม 2008 สนามกีฬาเวมบลีย์, อังกฤษ 66 Flag of the United States สหรัฐอเมริกา 2–0 2–0 เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร[78]
14 15 ตุลาคม 2008 Dinamo Stadium, เบลารุส 70 ธงชาติเบลารุส เบลารุส 1–0 3–1 ฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก[79]
15 9 กันยายน 2009 สนามกีฬาเวมบลีย์, อังกฤษ 76 ธงชาติโครเอเชีย โครเอเชีย 2–0 5–1 ฟุตบอลโลก 2010 รอบคัดเลือก
16 4–0
17 12 มิถุนายน 2010 Royal Bafokeng Stadium, แอฟริกาใต้ 81 Flag of the United States สหรัฐอเมริกา 1–0 1–1 ฟุตบอลโลก 2010
18 11 สิงหาคม 2010 สนามกีฬาเวมบลีย์, อังกฤษ 85 ธงชาติฮังการี ฮังการี 1–1 2–1 เกมอุ่นเครื่องกระชับมิตร[80]
19 2–1
20 6 กันยายน 2013 สนามกีฬาเวมบลีย์, อังกฤษ 104 ธงชาติมอลโดวา มอลโดวา 1–0 4–0 ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก
21 15 ตุลาคม 2013 สนามกีฬาเวมบลีย์, อังกฤษ 107 ธงชาติโปแลนด์ โปแลนด์ 2–0 2–0 ฟุตบอลโลก 2014 รอบคัดเลือก

สถิติการยิงประตู[แก้]

สโมสร[แก้]

สโมสร ลีก ฟุตบอลถ้วย ลีกคัพ ยุโรป อื่น ๆ รวม
ฤดูกาล สโมสร ลีก ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู
อังกฤษ พรีเมียร์ลีก เอฟเอคัพ ลีกคัพ ยุโรป อื่น ๆ รวม
1998–99[81] ลิเวอร์พูล พรีเมียร์ลีก 12 0 0 0 0 0 1[a] 0 0 0 13 0
1999–2000[82] 29 1 2 0 0 0 0 0 0 0 31 1
2000–01[83] 33 7 4 1 4 0 9[a] 2 0 0 50 10
2001–02[84] 28 3 2 0 0 0 15[b] 1 0 0 45 4
2002–03[85] 34 5 2 0 6 2 11[b] 0 1 0 54 7
2003–04[86] 34 4 3 0 2 0 8[a] 2 0 0 47 6
2004–05[87] 30 7 0 0 3 2 10[b] 4 0 0 43 13
2005–06[88] 32 10 6 4 1 1 12[b] 7 2 1 53 23
2006–07[89] 36 7 1 0 1 1 12[b] 3 1 0 51 11
2007–08[90] 34 11 3 3 2 1 13[b] 6 0 0 52 21
2008–09[91] 31 16 3 1 0 0 10[b] 7 0 0 44 24
2009–10[92] 33 9 2 1 1 0 13[b] 2 0 0 49 12
2010–11[93] 21 4 1 0 0 0 2[a] 4 0 0 24 8
2011–12[94] 18 5 6 2 4 2 0 0 0 0 28 9
2012–13[95] 36 9 1 0 1 0 8[a] 1 0 0 46 10
2013–14[96] 34 13 3 1 2 0 0 0 0 0 39 14
2014–15[97] 29 9 3 2 3 0 6[b] 2 37 13
อเมริกา เมเจอร์ลีกซอกเกอร์ ยูเอสโอเพนคัพ ลีกคัพ คอนคาแคฟแชมเปียนส์ลีก อื่น ๆ รวม
2015[98] ลอสแอนเจลิส แกแลกซี เมเจอร์ลีกซอกเกอร์ 13 2 1 0 0 0 0 0 14 2
รวม อังกฤษ 504 120 42 15 30 9 130 41 4 1 710 186
อเมริกา 13 2 1 0 0 0 0 0 14 2
รวมทั้งหมด 517 122 43 15 30 9 130 41 4 1 724 188

ทีมชาติ[แก้]

ณ วันที่ 24 มิถุนายน 2014.[99]
ทีมชาติ ปี กระชับมิตร รอบคัดเลือก ทัวร์นาเมนต์ รวม
ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู ลงเล่น ประตู
อังกฤษ 2000 1 0 0 0 1 0 2 0
2001 1 0 5 1 6 1
2002 2 0 3 1 5 1
2003 3 1 5 0 8 1
2004 4 0 2 1 4 1 10 2
2005 3 0 5 1 8 1
2006 5 1 3 1 5 2 13 4
2007 3 0 8 2 11 2
2008 5 1 2 1 7 2
2009 2 0 5 2 7 2
2010 5 2 3 0 4 1 12 3
2011 0 0 0 0 0 0
2012 3 0 4 0 4 0 11 0
2013 3 0 5 2 8 2
2014 3 0 0 0 3 0 6 0
รวม 43 5 50 12 21 4 114 21

เกียรติประวัติ[แก้]

สโมสร[แก้]

ลิเวอร์พูล

รางวัลส่วนตัว[แก้]

  • Ballon d’Or Bronze Award (1) : ปี 2005
  • ผู้เล่นทรงคุณค่าของยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก ฤดูกาล 2004-05
  • นักฟุตบอลยอดเยี่ยมแห่งปีสโมสรยุโรป (1) : ปี 2005
  • นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของสมาคมผู้สื่อข่าวอังกฤษ (1) : ปี 2009
  • FWA Tribute Award (1) : ปี 2013
  • นักฟุตบอลยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ (1) : ปี 2006
  • นักฟุตบอลดาวรุ่งยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ (1) : ปี 2001
  • นักฟุตบอลยอดเยี่ยมจากแฟนบอลของพีเอฟเอ (2) : ปี 2001, 2009
  • PFA Merit Award (1): 2015
  • นักฟุตบอลอังกฤษแห่งปี (1): 2007, 2012
  • ทีมยอดเยี่ยมของพีเอฟเอ (8) : ปี 2001, 2004, 2005, 2006, 2007, 2008, 2009, 2014
  • Standard Chartered Liverpool Player of the Month Award (4) : เดือนกันยายน 2010, มีนาคม 2012, มกราคม 2013, มีนาคม 2014
  • ประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนของอีเอ สปอร์ตส์ (3) : มีนาคม 2014, กันยายน 2014, ธันวาคม 2014
  • Liverpool Player of the Year Award (4) : 2003–04, 2005–06, 2006–07, 2008–09
  • ผู้ทำประตูสูงสุดของลิเวอร์พูล (4) : ฤดูกาล 2004–05, 2005–06, 2008–09, 2014–15
  • ทีมยอดเยี่ยมของฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป (1) : ปี 2012
  • ทีมแห่งปีของยูฟ่า (3) : ปี 2005, 2006, 2007
  • FIFA FIFPro World XI (3) : ปี 2007, 2008, 2009
  • ESM Team of the Year (1) : 2008–09
  • ประตูแห่งฤดูกาล (1) : ปี 2006
  • FIFA Club World Cup Silver Ball (1): 2005[100]
  • แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในนัดชิงชนะเลิศ ยูฟ่าแชมเปียนส์ลีก (1) : ปี 2005
  • แมน ออฟ เดอะ แมตช์ ในนัดชิงชนะเลิศ เอฟเอคัพ (1) : ปี 2006
  • นักฟุตบอลยอดเยี่ยมประจำเดือนของพรีเมียร์ลีก (6) : มีนาคม 2001, มีนาคม 2003, ธันวาคม 2004, เมษายน 2006, มีนาคม 2009, มีนาคม 2014[101]
  • ECHO Sports Personality of the Year Award (1) : 2014
  • ผู้ประสบความสำเร็จในอาชีพกับลิเวอร์พูล (1) : 2015[102]
  • BBC Sports Personality of the Year Award – อันดับ 3 ปี 2005
  • IFFHS World’s Most Popular Footballer (1) : ปี 2006
  • Premier League 20 Seasons Awards (1992–93 to 2011–12)
    • Fantasy Teams of the 20 Seasons (Public choice)
  • MLS All-Star: 2015
  • UEFA Ultimate Team of the Year (published 2015)[103]

รางวัลพิเศษ[แก้]

  • เครื่องราชอิสยาภรณ์ชั้น เอ็มบีอี ปี 2007
  • Honorary Fellowship from Liverpool John Moores University ปี 2008

อ้างอิง[แก้]

  1. กระโดดขึ้นไป:1.0 1.1 Hugman, Barry J. (2005). The PFA Premier & Football League Players’ Records 1946–2005. Queen Anne Press. p. 232. ISBN 1852916656.
  2. กระโดดขึ้น “1st Team squad profiles: Steven Gerrard”. Liverpool F.C. สืบค้นเมื่อ 2012-03-13.
  3. กระโดดขึ้น ,21426318-2883, 00.html It’s Steven Gerrard, MBE ข่าวจาก Herald Sun
  4. กระโดดขึ้น 00.html “Football | Premier League | Liverpool News”. TEAMtalk. สืบค้นเมื่อ 2010-06-13.
  5. กระโดดขึ้น “Liverpool captain Steven Gerrard’s greatest games”. BBC Sports. 14 March 2012. สืบค้นเมื่อ 2 January 2013.
  6. กระโดดขึ้น “Liverpool 2–3 Chelsea”. BBC Sport. 27 February 2005. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  7. กระโดดขึ้น “Liverpool 3–1 Olympiakos”. BBC Sport. 8 December 2004. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  8. กระโดดขึ้น วันนี้เมื่อ 10 ปีก่อน: มหัศจรรย์แห่งอิสตันบูล
  9. กระโดดขึ้น อิสตันบูล 2005: บทวิเคราะห์เชิงแท็กติก
  10. กระโดดขึ้น “Liverpool 3–3 West Ham (aet)”. BBC Sport. 2006-05-13. สืบค้นเมื่อ 2008-08-22.
  11. กระโดดขึ้น วันนี้ในอดีต: เอฟเอ คัพ นัดชิงชนะเลิศปี 2006
  12. กระโดดขึ้น “Gerrard named player of the year”. BBC Sport. 23 April 2006. สืบค้นเมื่อ 19 December 2008.
  13. กระโดดขึ้น Phillips, Owen (1 May 2007). “Liverpool 1–0 Chelsea (Agg: 1–1)”. BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  14. กระโดดขึ้น McNulty, Phil (14 March 2009). “Man Utd 1–4 Liverpool”. BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 16 March 2009.
  15. กระโดดขึ้น แมตช์คลาสสิก: แมนฯ ยูไนเต็ดแพ้ลิเวอร์พูล 1-4 (2009)
  16. กระโดดขึ้น แมตช์คลาสสิก: ลิเวอร์พูลชนะเรอัล มาดริด 4-0 (2009)
  17. กระโดดขึ้น McNulty, Phil (22 March 2009). “Liverpool 5–0 Aston Villa”. BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 23 March 2009.
  18. กระโดดขึ้น Sanghera, Mandeep (4 November 2010). “Liverpool 3–1 Napoli”. BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 2010-11-21.
  19. กระโดดขึ้น “Cardiff 2–2 Liverpool (Liverpool win 3–2 on penalties) “ BBC Sport. 26 February 2012. Retrieved 16 June 2012.
  20. กระโดดขึ้น “Liverpool 3–0 Everton” BBC Sport. 13 March 2012. Retrieved 16 June 2012.
  21. กระโดดขึ้น แมตช์คลาสสิก: ลิเวอร์พูลชนะเอฟเวอร์ตัน 3-0 (ปี 2012)
  22. กระโดดขึ้น “Liverpool 1–2 Man Utd” BBC Sport. 23 September 2012. Retrieved 30 September 2012.
  23. กระโดดขึ้น “Gerrard signs contract extension”. Liverpool F.C. 15 July 2013. สืบค้นเมื่อ 15 July 2013.
  24. กระโดดขึ้น กัปตันเจอร์ราร์ดเซอร์ไพรส์แฟนๆ ตั้งโต๊ะแจกลายเซ็นกลางดึก
  25. กระโดดขึ้น เจอร์ราร์ด และสเตอร์ริดจ์ ช่วยให้ลิเวอร์พูลเก็บหนึ่งแต้ม
  26. กระโดดขึ้น หลายปีที่ผ่านมาของ สตีเวน เจอร์ราร์ด
  27. กระโดดขึ้น ภาพการแข่งขันลิเวอร์พูลพบสโต๊ก ซิตี้
  28. กระโดดขึ้น ปฏิบัติการ SAS ช่วยเก็บชัยชนะถึงถิ่นสโต๊ก
  29. กระโดดขึ้น กัปตันยิงจุดโทษช่วยลิเวอร์พูลเสมอวิลลา
  30. กระโดดขึ้น ภาพการแข่งขันลิเวอร์พูลพบเอฟเวอร์ตัน
  31. กระโดดขึ้น ลิเวอร์พูลเปิดบ้านเอาชนะเอฟเวอร์ตันสุดประทับใจ 4-0
  32. กระโดดขึ้น เจอร์ราร์ดยิงจุดโทษเฉือนฟูแล่ม 3-2
  33. กระโดดขึ้น ประตูของเจอร์ราร์ดและซัวเรซทำให้โอลด์ แทร็ฟฟอร์ดเงียบงัน
  34. กระโดดขึ้น 5 กุญแจสำคัญ ที่ตัดสินเกมกับแมนฯ ยูไนเต็ด
  35. กระโดดขึ้น ลิเวอร์พูลกวาดรางวัลยอดเยี่ยมพรีเมียร์ลีก ประจำเดือนมีนาคม
  36. กระโดดขึ้น สองประตูของเจอร์ราร์ดส่งให้ลิเวอร์พูลกลับสู่ตำแหน่งจ่าฝูง
  37. กระโดดขึ้น ภาพการแข่งขันลิเวอร์พูลพบแมนเชสเตอร์ ซิตี้
  38. กระโดดขึ้น คูตินโญ่ยิงประตูชัยเอาชนะแมนฯ ซิตี้ 3-2 รั้งจ่าฝูงพรีเมียร์ลีก
  39. กระโดดขึ้น 45 สถิติจากฤดูกาลที่น่าจดจำ
  40. กระโดดขึ้น ลิเวอร์พูลบุกไปยิงสามประตูถึงไวท์ ฮาร์ต เลน
  41. กระโดดขึ้น เจอร์ราร์ดยิงจุดโทษท้ายเกมให้ลิเวอร์พูลคว้าชัยสุดดราม่า
  42. กระโดดขึ้น ลิเวอร์พูลถูกตีเสมอท้ายเกมดาร์บี
  43. กระโดดขึ้น สตีเวน เจอร์ราร์ด ทำประตูเกมลิเวอร์พูลเอาชนะเลสเตอร์
  44. กระโดดขึ้น ‘ผลเสมอทำให้หงส์แดงตกรอบแชมเปียนส์ลีก’
  45. กระโดดขึ้น ฟรีคิกของเจอร์ราร์ดคว้ารางวัลประตูยอดเยี่ยมประจำเดือนธันวาคม
  46. กระโดดขึ้น หงส์แดงถูกเลสเตอร์ไล่ตีเสมอที่แอนฟิลด์
  47. กระโดดขึ้น ““สตีวีจี” รับอำลาหงส์ ตัดสินใจยากสุดในชีวิต”. ผู้จัดการออนไลน์. 2 January 2015. สืบค้นเมื่อ 2 January 2015.
  48. กระโดดขึ้น สตีเวน เจอร์ราร์ด จะอำลาสโมสร เมื่อสิ้นสุดฤดูกาล 2014-15
  49. กระโดดขึ้น บทสัมภาษณ์ฉบับเต็มของ สตีเวน เจอร์ราร์ด อำลาสโมสร
  50. กระโดดขึ้น หน้า 17 ต่อ 19 กีฬา, ปิดตำนาน สตีวีจี…. “ไฮไลต์กีฬา”. เดลินิวส์ฉบับที่ 23,826: วันอังคารที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2558 แรม 2 ค่ำ เดือน 2 ปีมะเมีย
  51. กระโดดขึ้น “AFC Wimbledon 1 – 2 Liverpool”. livescore.net. 6 January 2015. สืบค้นเมื่อ 6 January 2015.
  52. กระโดดขึ้น กัปตันเจอร์ราร์ด เบิ้ลสองประตูในเกมชนะวิมเบิลดัน
  53. กระโดดขึ้น บาโลเตลลียิงประตูชัยท้ายเกมให้ลิเวอร์พูลคว้าชัยเหนือสเปอร์ส
  54. กระโดดขึ้น “เปิด 5 สถิติใบแดงเร็วที่สุดพรีเมียร์ลีก”. ผู้จัดการออนไลน์. 23 March 2015. สืบค้นเมื่อ 23 March 2015.
  55. กระโดดขึ้น “เศร้าให้สุด! “เจอร์ราร์ด” เข้าผับดัง หลังอดชิงเอฟเอ คัพ”. เนชั่นทีวี. 21 April 2015. สืบค้นเมื่อ 30 April 2015.
  56. กระโดดขึ้น เจอร์ราร์ดยินดีรับรางวัลพิเศษของพีเอฟเอ
  57. กระโดดขึ้น 5 ข้อเท็จจริงที่ได้รับจากเกมลิเวอร์พูลชนะควีนส์ปาร์ก เรนเจอร์ส
  58. กระโดดขึ้น เจอร์ราร์ดขึ้นไปรั้งอันดับ 5 ดาวยิงตลอดกาลของลิเวอร์พูล
  59. กระโดดขึ้น สตีเวน เจอร์ราร์ด ช่วยให้ลิเวอร์พูลแบ่งแต้มกับเชลซี
  60. กระโดดขึ้น หงส์สั่งลา “สตีวีจี” พ่ายยับ 1-3 ส่อหลุดยูโรปาฯ จากผู้จัดการออนไลน์
  61. กระโดดขึ้น ลิเวอร์พูลพ่ายในนัดสตีเวน เจอร์ราร์ด อำลาแอนฟิลด์
  62. กระโดดขึ้น คูตินโญ่กวาด 4 รางวัล ในงานประกาศรางวัล Players’ Awards
  63. กระโดดขึ้น หน้า 19 ต่อจากหน้า 17 กีฬา, หงส์พ่ายยับครึ่งโหลอำลาสตีวี. “เชลซีฉลองชัยไล่ต้อนแมวดำ”. เดลินิวส์ฉบับที่ 23,965: วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558 ขึ้น 8 ค่ำ เดือน 7 ปีมะแม
  64. กระโดดขึ้น สโต๊กถล่มลิเวอร์พูลในเกมอำลาสนามของเจอร์ราร์ด
  65. กระโดดขึ้น “ไม่รอเตะยูโร “สตีวีจี” บอกลาทีมชาติ”. ผู้จัดการออนไลน์. สืบค้นเมื่อ 2014-07-22.
  66. กระโดดขึ้น สตีเวน เจอร์ราร์ด อำลาทีมชาติอังกฤษ
  67. กระโดดขึ้น “Awesome England thrash Germany”. BBC Sport. 2001-09-01. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  68. กระโดดขึ้น “Macedonia hold ragged England”. BBC Sport. 2002-10-16. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  69. กระโดดขึ้น “England seal late win”. BBC Sport. 2003-06-04. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  70. กระโดดขึ้น “England 3–0 Switzerland”. BBC Sport. 2004-06-17. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  71. กระโดดขึ้น “Austria 2–2 England”. BBC Sport. 2004-09-04. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  72. กระโดดขึ้น “England 2–0 Azerbaijan”. BBC Sport. 2005-03-30. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  73. กระโดดขึ้น “England 3–1 Hungary”. BBC Sport. 2006-05-30. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  74. กระโดดขึ้น “England 2–0 Trinidad and Tobago”. BBC Sport. 2006-06-15. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  75. กระโดดขึ้น “Sweden 2–2 England”. BBC Sport. 2006-06-20. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  76. กระโดดขึ้น “England 5–0 Andorra”. BBC Sport. 2006-09-02. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  77. กระโดดขึ้น McNulty, Phil (2007-03-28). “Andorra 0–3 England”. BBC Sport. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  78. กระโดดขึ้น “England beats United States 2–0”. International Herald Tribune. 2008-05-29. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.
  79. กระโดดขึ้น “Belarus 1–3 England FT”. The FA. 2008-10-15. สืบค้นเมื่อ 2008-12-19.[ลิงก์เสีย]
  80. กระโดดขึ้น Winter, Henry (2010-08-11). “England 2–1 Hungary FT”. London: The Daily Telegraph. สืบค้นเมื่อ 2010-08-13.
  81. กระโดดขึ้น “Matches played by Steven Gerrard in 1998–99”. Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
  82. กระโดดขึ้น “Matches played by Steven Gerrard in 1999–2000”. Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
  83. กระโดดขึ้น “Matches played by Steven Gerrard in 2000–2001”. Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
  84. กระโดดขึ้น “Matches played by Steven Gerrard in 2001–2002”. Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
  85. กระโดดขึ้น “Matches played by Steven Gerrard in 2002–2003”. Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
  86. กระโดดขึ้น “Matches played by Steven Gerrard in 2003–2004”. Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
  87. กระโดดขึ้น “Matches played by Steven Gerrard in 2004–2005”. Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
  88. กระโดดขึ้น “Matches played by Steven Gerrard in 2005–2006”. Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
  89. กระโดดขึ้น “Matches played by Steven Gerrard in 2005–2006”. Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
  90. กระโดดขึ้น “Matches played by Steven Gerrard in 2007–2008”. Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
  91. กระโดดขึ้น “Matches played by Steven Gerrard in 2008–2009”. Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
  92. กระโดดขึ้น “Matches played by Steven Gerrard in 2009–2010”. Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
  93. กระโดดขึ้น “Matches played by Steven Gerrard in 2010–2011”. Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
  94. กระโดดขึ้น “Matches played by Steven Gerrard in 2011–2012”. Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
  95. กระโดดขึ้น “Matches played by Steven Gerrard in 2012–2013”. Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
  96. กระโดดขึ้น “Matches played by Steven Gerrard in 2013–2014”. Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 11 April 2014.
  97. กระโดดขึ้น “Matches played by Steven Gerrard in 2014–15”. Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 17 September 2014.
  98. กระโดดขึ้น “Matches played by Steven Gerrard in 2014–15”. Soccerbase. สืบค้นเมื่อ 17 September 2014.
  99. กระโดดขึ้น สตีเวน เจอร์ราร์ด เว็บไซต์ National-Football-Teams.com (อังกฤษ)
  100. กระโดดขึ้น “2005 FIFA Club World Championship awards”. Fédération Internationale de Football Association. สืบค้นเมื่อ July 30 2015.
  101. กระโดดขึ้น LFC By Numbers: 4 สิ่งที่สตีเวน เจอร์ราร์ด ทำได้ยอดเยี่ยมในพรีเมียร์ลีก
  102. กระโดดขึ้น “คูตี้”กวาดรางวัลในงาน LFC Players Award 2015
  103. กระโดดขึ้น “Ultimate Team of the Year: The All-Time XI”. UEFA. 22 November 2015. สืบค้นเมื่อ 25 November 2015.    

อ้างอิง https://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%AA%E0%B8%95%E0%B8%B5%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%99_%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%AD%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A3%E0%B9%8C%E0%B8%94

ย้อนรอย…วันลอยกระทงไทย 05 ก.พ.

ใบงานที่2 ย้อนรอยวันลอยกระทงไทย

1ความหมายของกระทง

นลอยกระทง เป็นวันสำคัญวันหนึ่งของชาวไทย ตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 12 ตามปฏิทินจันทรคติไทย ตามปฏิทินจันทรคติล้านนา “มักจะ” ตกอยู่ในราวเดือนพฤศจิกายน ตามปฏิทินสุริยคติ ประเพณีนี้กำหนดขึ้นเพื่อเป็นการสะเดาะเคราะห์และขอขมาต่อพระแม่คงคา บางหลักฐานเชื่อว่าเป็นการบูชารอยพระพุทธบาทที่ริมฝั่งแม่น้ำนัมทามหานที และบางหลักฐานก็ว่าเป็นการบูชาพระอุปคุตอรหันต์หรือพระมหาสาวก สำหรับประเทศไทยประเพณีลอยกระทงได้กำหนดจัดในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ โดยเฉพาะอย่างยิ่งบริเวณที่ติดกับแม่น้ำ ลำคลอง หรือ แหล่งน้ำต่าง ๆ ซึ่งแต่ละพื้นที่ก็จะมีเอกลักษณ์ที่น่าสนใจแตกต่างกันไป

ในวันลอยกระทง ผู้คนจะพากันทำ “กระทง” จากวัสดุอุปกรณ์ต่างๆ ตบแต่งเป็นรูปคล้ายดอกบัวบาน ปักธูปเทียน และนิยมตัดเล็บ เส้นผม หรือใส่เหรียญกษาปณ์ลงไปในกระทง แล้วนำไปลอยในสายน้ำ (ในพื้นที่ติดทะเล ก็นิยมลอยกระทงริมฝั่งทะเล) เชื่อว่าเป็นการลอยเคราะห์ไป นอกจากนี้ยังเชื่อว่าการลอยกระทง เป็นการบูชาและขอขมาพระแม่คงคาด้วย

2จุดเริ่มต้นของประเพณีลอยกระทงเกิดึ้นในราชกาลใด

ประวัติวันลอยกระทงนั้น ไม่มีหลักฐานระบุแน่ชัดว่าเริ่มตั้งแต่เมื่อใด แต่เชื่อว่าประเพณีนี้ได้สืบต่อกันมายาวนานตั้งแต่สมัยสุโขทัย โดยในรัชสมัยพ่อขุนรามคำแหง เรียกประเพณีลอยกระทงนี้ว่า “พิธีจองเปรียญ” หรือ “การลอยพระประทีป” และมีหลักฐานจากศิลาจารึกหลักที่ 1 กล่าวถึงงานเผาเทียนเล่นไฟว่าเป็นงานรื่นเริงที่ใหญ่ที่สุดของกรุงสุโขทัย ทำให้เชื่อกันว่างานดังกล่าวน่าจะเป็นงานลอยกระทงอย่างแน่นอน
ในสมัยก่อนนั้นพิธีลอยกระทงจะเป็นการลอยโคม โดยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ได้ทรงสันนิษฐานว่า พิธีลอยกระทงเป็นพิธีของพราหมณ์ จัดขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้า 3 องค์ คือ พระอิศวร พระนารายณ์ และพระพรหม ต่อมาได้นำพระพุทธศาสนาเข้าไปเกี่ยวข้อง จึงให้มีการชักโคม เพื่อบูชาพระบรมสารีริกธาตุ และลอยโคมเพื่อบูชารอยพระบาทของพระพุทธเจ้า
ก่อนที่นางนพมาศ หรือ ท้าวศรีจุฬาลักษณ์ สนมเอกของพระร่วงจะคิดค้นประดิษฐ์กระทงดอกบัวขึ้นเป็นคนแรกแทนการลอยโคม ดังปรากฏในหนังสือนางนพมาศที่ว่า
“ครั้นวันเพ็ญเดือน 12 ข้าน้อยได้กระทำโคมลอย คิดตกแต่งให้งามประหลาดกว่าโคมสนมกำนัลทั้งปวงจึงเลือกผกาเกสรสีต่าง ๆ มาประดับเป็นรูปกระมุทกลีบบานรับแสงจันทร์ใหญ่ประมาณเท่ากงระแทะ ล้วนแต่พรรณดอกไม้ซ้อนสีสลับให้เป็นลวดลาย…”
เมื่อสมเด็จพระร่วงเจ้าได้เสด็จฯ ทางชลมารค ทอดพระเนตรกระทงของนางนพมาศก็ทรงพอพระราชหฤทัย จึงโปรดให้ถือเป็นเยี่ยงอย่าง และให้จัดประเพณีลอยกระทงขึ้นเป็นประจำทุกปี โดยให้ใช้กระทงดอกบัวแทนโคมลอย ดังพระราชดำรัสที่ว่า “ตั้งแต่นี้สืบไปเบื้องหน้า โดยลำดับกษัตริย์ในสยามประเทศถึงกาลกำหนดนักขัตฤกษ์วันเพ็ญเดือน 12 ให้ทำโคมลอยเป็นรูปดอกบัว อุทิศสักการบูชาพระพุทธบาทนัมมทานทีตราบเท่ากัลปาวสาน” พิธีลอยกระทงจึงเปลี่ยนรูปแบบตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา
ประเพณีลอยกระทงสืบต่อกันเรื่อยมา จนถึงกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น สมัยรัชกาลที่ 1 ถึง รัชกาลที่ 3 พระบรมวงศานุวงศ์ตลอดจนขุนนางนิยมประดิษฐ์กระทงใหญ่เพื่อประกวดประชันกัน ซึ่งต้องใช้แรงคนและเงินจำนวนมาก พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 ทรงเห็นว่าเป็นการสิ้นเปลือง จึงโปรดให้ยกเลิกการประดิษฐ์กระทงใหญ่แข่งขัน และโปรดให้พระบรมวงศานุวงศ์ทำเรือลอยประทีปถวายองค์ละลำแทนกระทงใหญ่ และเรียกชื่อว่า “เรือลอยประทีป” ต่อมาในรัชกาลที่ 5 และรัชกาลที่ 6 ได้ทรงฟื้นฟูพระราชพิธีนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ปัจจุบันการลอยพระประทีปของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงกระทำเป็นการส่วนพระองค์ตามพระราชอัธยาศัย 2จุดเริ่มต้นของประเพณีลอยกระทงเกิดขึ้นในราชกาลใด

3ประเภทของกระทงของไทย

1. กระทงใบตอง ปักด้วยเทียน เป็นการบูชาพระสัมาสัมพุทธเจ้าด้วยแสงสว่าง โดยใช้วัสดุจากธรรมชาติมาประดิษฐ์ด้วยงานศิลปะ งดงาม

 

1

2. กระทงโฟม ต่อมามีโฟมก็เลือกใช้โฟมแทนกาบกล้วยแต่ยังคงใช้ใบตองควบคู่ไป และการใช้โฟมเป็นฐานตกแต่งด้วยกลีบกระทงที่ทำจากกระดาษย่นขึ้นรูป119249

3. กระทงสาย ทำจากกะลามะพร้าวที่ขัดให้สะอาดและหลอมเทียนพรรษาใส่ลงไปในกะลาจุดเทียนแล้วลอยลงแม่น้ำไหลตามกันเป็นสายตามร่องแม่น้ำปิง ซึ่งมีสันทรายอยู่ใต้น้ำ จึงเรียกว่า กระทงสาย ซึ่งประเพณีของจังหวัดตาก

images

4ประเพณีลอยกระทงของประเทศเพื่อนบ้าน

ประเทศพม่า ลอยเพื่อบูชาพระอุปคุตที่อยู่กลางสะดือทะเลประเทศเมียนมาร์ มีตำนานว่าพระเจ้าอโศกมหาราชจะทรงสร้างพระเจดีย์ให้ครบ ๘๔.๐๐๐ แต่ถูกพระยามารขัดขวางคุกคามทำลายพระเจดีย์เหล่านั้น พระเจ้าธรรมาโศกราชจึงทรงขอร้องพระอุปคุต พระอุปคุตจึงไปขอร้องพระยานาค ให้ช่วยจับพระยามารด้วย พระอุปคุตจึงจัดการปราบปราบพระยามารจนสำเร็จ ตั้งแต่นั้นมาเมื่อถึงวันเพ็ญเดือน 12 ราษฎรจึงทำพิธีลอยกระทงเพื่อขอบคุณพระยานาคสืบมาทุกๆ ปี

Loi_Krathong_2010_John_Shedrick-300x255

ส่วนประเทศลาว มีความเลื่อมใสในพระแม่คงคาที่มีผ่านแม่น้ำโขงตัวแทนความสัมพันธ์ของสายน้ำที่หล่อเลี้ยงผู้คนในประเทศมาช้านาน งานบุญออกพรรษา ของลาวหรือ “งานไหลเฮือไฟ” (ลอยกระทงลาว) จัดขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ของทุกปี จะมีกิจกรรมประกอบด้วยประเพณีการแข่งเรือที่ริมแม่น้ำโขงเป็นการบูชาแม่น้ำด้วยการลอยประทีปและไหลเรือไฟ

Loi_krathong_rafts_Ban_Khung_Taphao-159x300

 

ประเทศกัมพูชา มีการลอยกระทง 2 ครั้ง คือลอยกระทงของหลวงช่วงกลางเดือน 11 กระทงนั้นจะเป็นกระทงเล็กและบรรจุอาหารไปด้วย ส่วนกลางเดือน 12 จะทำเป็นกระทงใหญ่ ซึ่งหลวงจะเป็นคนทำ ราษฎรจะไม่ได้ทำและกระทงนี้จะมีอาหารบรรจุลงไปด้วย โดยมีคติว่าเพื่อส่งส่วนบุญไปให้เปรต เทศกาลน้ำจะมีการเฉลิมฉลองด้วยการแข่งเรือยาว การแสดงพุดอกไม้ไฟ จัดขึ้นทุกปีตั้งแต่วันขึ้น 14 ค่ำ 15 ค่ำ จนถึงแรม 1 ค่ำ เดือนพฤศจิกายน

Chiang_Mai_Yi_Peng_Festival_1

นอกจากนี้ ไม่ว่าจะเป็นประเทศเวียดนาม ประเทศเกาหลี หรือประเทศญี่ปุ่น มีพิธีกรรมในการขอขมาและลอยทุกข์ลงในน้ำเช่นกัน โดยสันนิษฐานกันว่าต้นแบบของความเชื่อนี้มาจากศาสนาพุทธแบบมหายานที่แพร่หลายไปจากประเทศจีน

5จุดประสงค์ของประเพณีลอยกระทง

วัตถุประสงค์
1. เพื่อบูชารอยพระบาทที่ประดิษฐ์ ณ หาดทรายแม่น้ำนัมมทา อันเป็นการเจริญพุทธานุสติรำลึกถึงคุณค่าพระพุทธเจ้าเช่นเดียวกับที่ผู้นับถือศาสนาพราหมณ์บูชาพระผู้เป็นเจ้าของเขา
2. เพื่อแสดงความสำนึกคุณของน้ำในแหล่งน้ำต่างๆ อันเป็นสิ่งจำเป็นของชีวิต ซึ่งสมมุติเป็นแม่พระคงคาและขอขมาลาโทษที่อาจทำการใดๆ อันเป็นเหตุให้แหล่งน้ำนั้นๆ ไม่สะอาด การสำนึกคุณและขออภัยถือเป็นวัฒนธรรมอันดีงามอย่างหนึ่งของไทย

3. เพื่อความรื่นเริงบันเทิงใจและสังสรรค์กันระหว่างผู้ไปร่วมงาน เพราะเดือน 12 เป็นฤดูกาล ที่น้ำเต็มฝั่งเมื่อถึงวันพระจันทร์ เพ็ญจะแลดูงดงามมาก จึงมีลอยกระทงซึ่งทำให้เกิดแสงวอมแวมชวนให้ชื่นชม
ในการลอยกระทงนั้นบางคนก็จะอธิฐานขอสิ่งที่ตนปรารถนาหรือเสี่ยงทายเกี่ยวกับชีวิตของตนตามอัธยาศัย
4. เพื่อส่งเสริมงานช่างฝีมือในการประดิษฐ์กระทงด้วยใบตอง กาบกล้วยหรือวัสดุพื้นบ้านต่างๆ มีการประกวดกระทงส่งเสริมความคิดสร้างสรรค์ในการประดิษฐ์และงานฝีมือ
5. เพื่ออนุรักษ์สิ่งแวดล้อมคือ แหล่งน้ำให้ปราศจากมลภาวะ โดยตักเตือนกันมิให้มักง่ายทิ้งสิ่งปฏิกูลลงในแม่น้ำ
6. เพื่อธำรงส่งเสริมวัฒนธรรมประเพณีไทย และเป็นการส่งเสริมการท่องเที่ยวนำรายได้มาสู่ประเทศชาติไปในขณะ

 

ใบงานที่ 1 5 ธันวาคม มหาราช

พระราชประวัติรัชกาลที่9 ประวัติในหลวง ประวัติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ทรงพระราชสมภพ

11

1.  ประวัติของพระเจ้าอยู่หัว

     พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช ทรงเสด็จพระราชสมภพ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2470 ณ โรงพยาบาลเมานท์ออเบอร์น ( MOUNT AUBURN) รัฐเมสสาชูเขตต์ ( MASSACHUSETTS)  ประเทศสหรัฐอเมริก

1

 2. พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชทรงพระนามเดิมว่า “พระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าภูมิพลอดุลยเดช” ทรงเป็นพระราชโอรสในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุลยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ (ต่อมาได้รับการเฉลิมพระนามาภิไธยเป็น สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก) และหม่อมสังวาลย์

3.พระราชกรณียกิจของพระองค์

  1. job_duties_c_01
    1. พระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช นับตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดชเสด็จขึ้นครองราชสมบัติเป็นประมุขแห่งประเทศไทย เป็นต้นมา พระองค์ได้ทรงประกอบพระราชกรณียกิจในด้านต่าง ๆ อันเป็นประโยชน์แก่ชาวไทยตลอดพระชนมายุของพระองค์ โดยพระราชกรณียกิจที่สำคัญของพระองค์ คือ การเสด็จพระราชดำเนินเยือนประชาชนในท้องถิ่นต่าง ๆ ของประเทศ ดังในปฐมพระบรมราชโองการในระหว่างพระราชพิธีบรมราชาภิเษก เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2493 ว่า เราจะครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุขแก่มหาชนชาวสยามในปี พ.ศ. 2539 จากการที่พระองค์ทรงงานเพื่อประชาชนอย่างหนัก จึงได้มีการลงนามโดยประชาชนชาวไทยเพื่อถวายสมัญญานามให้ทรงเป็น “มหาราช[1]
    2. 
      

      ในการเสด็จพระราชดำเนินไปทรงเยี่ยมราษฎรตามท้องที่ต่าง ๆ ทุกครั้ง จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้มีคณะแพทย์ที่ประกอบด้วย ผู้เชี่ยวชาญในแต่ละสาขาจากโรงพยาบาลต่าง ๆ และล้วนเป็นอาสาสมัครทั้งสิ้น โดยเสด็จพระราชดำเนินไปในขบวนอย่างใกล้ชิด พร้อมด้วยเวชภัณฑ์และเครื่องมือแพทย์ครบครัน พร้อมที่จะให้การรักษาพยาบาลราษฎร ผู้ป่วยไข้ได้ทันที

      นอกจากนั้น ยังมีโครงการทันตกรรมพระราชทาน ซึ่งเป็นพระราชดำริที่ให้ทันตแพทย์อาสาสมัคร ได้เดินทางออกไปช่วยเหลือบำบัดโรคเกี่ยวกับฟัน ตลอดจนสอนการรักษาอนามัยของปากและฟัน แก่เด็กนักเรียนและราษฎรที่อาศัยอยู่ในท้องที่ทุรกันดาร และห่างไกลจากแพทย์ทั่วทุกภาค โดยให้การบริการรักษาโรคฟัน โดยไม่คิดมูลค่าในการแพทย์เคลื่อนที่

      สำหรับการเสด็จพระราชดำเนินทรงเยี่ยมวัดทุกแห่ง ซึ่งนับเป็นศูนย์กลางของชุมชนในชนบท โดยจะพระราชทานกล่องยาแก่วัด เพื่อพระภิกษุใช้เมื่อเกิดอาพาธ และเพื่อแจกจ่ายแก่ราษฎรผู้ป่วยเจ็บในหมู่บ้านนั้น ๆ ส่วนในการเสด็จพระราชดำเนินไปเยี่ยมหน่วยทหาร ตำรวจ และอาสาสมัคร ที่ออกไปตั้งฐานปฏิบัติการในท้องที่ทุรกันดาร ก็จะพระราชทานสิ่งของที่จำเป็นต่าง ๆ รวมทั้งยารักษาโรคสำหรับใช้ในหมู่เจ้าหน้าที่ และใช้ในการรักษาพยาบาล และเพื่อแจกจ่ายแก่ราษฎรในท้องที่ ที่มาขอความช่วยเหลือ อันจะทำให้เจ้าหน้าที่ฝ่ายปราบปราม และประชาชนในพื้นที่ปฏิบัติการ ได้มีความเข้าใจอันดีต่อกัน รู้จักช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

      ทางด้านหน่วยแพทย์หลวงที่จะต้องตามเสด็จพระราชดำเนินไป ณ ที่ประทับแรมทุกแห่งนั้น จะมีเจ้าหน้าที่ให้การรักษาพยาบาลราษฎร ผู้มาขอรับการรักษา ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายแต่ประการใด นอกจากนั้น หน่วยแพทย์หลวงยังจัดเจ้าหน้าที่ออกเดินทาง ไปรักษาราษฎรผู้ป่วยเจ็บ ตามหมู่บ้านที่อยู่ห่างไกลออกไปอีกด้วย โดยได้รับความร่วมมือจากเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง ซึ่งเป็นผู้แนะนำสถานที่และร่วมเดินทางไปด้วย สำหรับราษฎรผู้เจ็บป่วยรายที่มีอาการหนัก หรือจำเป็นที่จะต้องได้รับการตรวจรักษาเพิ่มเติมนั้น ก็จะทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ข้าราชบริพารที่ตามเสด็จพระราชดำเนิน ทำการบันทึกรายชื่อ อาชีพ ที่อยู่ และอาการโดยละเอียด โดยตรวจสอบความถูกต้องกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และมีสำเนาให้รับทราบเพื่อติดต่อประสานงานต่อไป ในการพิจารณาส่งผู้ป่วยไปรับการรักษาต่อ ตามความเห็นของแพทย์ผู้ทำการตรวจ

    3. พระราชกรณียกิจ ในหลวงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงตระหนักดีว่า การพัฒนาการศึกษาของเยาวชนนั้น เป็นพื้นฐานอันสำคัญของประเทศชาติ จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ พระราชทานพระราชทรัพย์จัดตั้งมูลนิธิอานันทมหิดล ให้เป็นทุนสำหรับการศึกษาในแขนงวิชาต่าง ๆ เพื่อให้นักศึกษาได้มีทุนออกไปศึกษา หาความรู้ต่อในวิชาการชั้นสูงในประเทศต่าง ๆ โดยไม่มีเงื่อนไขข้อผูกพันแต่ประการใด เพื่อที่จะได้นำความรู้นั้น ๆ กลับมาใช้พัฒนาประเทศชาติให้เจริญก้าวหน้าต่อไปH.M.K picture นอกเหนือไปจากนี้แล้ว ทรงมีพระราชดำริให้ดำเนินการจัดทำสารานุกรมไทยสำหรับเยาวชนขึ้น สารานุกรมชุดนี้ มีลักษณะพิเศษที่แตกต่างจากสารานุกรมชุดอื่น ๆ ที่ได้เคยจัดพิมพ์มาแล้ว กล่าวคือ เป็นสารานุกรมอเนกประสงค์ที่บรรจุเรื่องราวต่าง ๆ ที่เป็นสาระไว้ครบทุกแขนงวิชา โดยจัดแบ่งเนื้อหาของแต่ละเรื่องออกเป็นสามระดับ เพื่อที่จะให้เยาวชนแต่ละรุ่น ตลอดจนผู้ใหญ่ที่มีความสนใจ สามารถที่จะศึกษาค้นคว้าหาความรู้ ได้ตามความเหมาะสมของพื้นฐานความรู้ ของแต่ละคน โดยมีวิทยากรผู้ทรงคุณวุฒิในแต่ละสาขาวิชา การอุทิศเวลาและความรู้ เพื่อสนองพระราชดำริ โดยร่วมกันเขียนเรื่องต่าง ๆ ขึ้น แบ่งออกเป็น 4 สาขาวิชา คือ วิทยาศาสตร์ เทคโนโลยี สังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์

      ทรงก่อตั้งกองทุนนวฤกษ์ ในมูลนิธิช่วยนักเรียนที่ขาดแคลน ในพระบรมราชูปถัมภ์ เพื่อช่วยให้นักเรียนที่ขาดแคลนทุนทรัพย์ ได้มีโอกาสเข้ารับการศึกษาในระดับประถมศึกษา และระดับมัธยมศึกษา ทั้งยังพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ เป็นทุนริเริ่มในการก่อสร้างโรงเรียนตามวัดในชนบท สำหรับที่จะสงเคราะห์เด็กยากจนและกำพร้า ให้ได้มีสถานที่สำหรับศึกษาเล่าเรียน โดยอาราธนาพระภิกษุเป็นครูสอนในวิชาสามัญต่าง ๆ ที่ไม่ได้ขัดต่อพระธรรมวินัย ตลอดจนช่วยอบรมศีลธรรมแก่เด็กนักเรียน ทั้งนี้ เป็นพระราชประสงค์ที่จะให้เด็กนักเรียน ได้เกิดความสัมพันธ์ระหว่างศาสนากับการศึกษาควบคู่กันไป อันจะทำให้เยาวชนของชาติ นอกจากจะมีความรู้ด้านวิชาการแล้ว ยังจะทำให้มีจิตใจที่ดี ที่ตั้งมั่นอยู่ในศีลธรรม เพื่อที่จะได้เป็นพลเมืองดีของประเทศชาติต่อไป ในอนาคต

      โรงเรียนร่มเกล้า ก็เป็นสถานศึกษาในระดับมัธยมศึกษา ในหลายจังหวัดที่เกิดขึ้นจากพระราชดำริ ที่จะให้ทหารออกไปปฏิบัติภารกิจในท้องที่ทุรกันดาร ได้ทำประโยชน์ต่อชุมชน และมีส่วนช่วยเหลือประชาชนในด้านการศึกษา ตามโอกาสอันควร โดยพระราชทานพระราชทรัพย์ส่วนพระองค์ ให้ทหารจัดสร้างโรงเรียนขึ้นในจังหวัดนครพนม จังหวัดสกลนคร จังหวัดนราธิวาส จังหวัดปราจีนบุรีและจังหวัดแม่ฮ่องสอน เป็นต้น เพื่อช่วยบรรเทาปัญหาการขาดแคลนสถานศึกษาสำหรับเยาวชน และยังเป็นการส่งเสริมความเข้าใจอันดี ระหว่างเจ้าหน้าที่ทหารที่ไปปฏิบัติภารกิจในพื้นที่นั้น ๆ กับราษฎรเจ้าของท้องที่อีกโสตหนึ่งด้วย ซึ่งในการดำเนินงานจัดสร้างโรงเรียน ทางฝ่ายทหารได้ติดต่อประสานงานกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง และฝ่ายศึกษาธิการ เพื่อเลือกสถานที่ตั้งโรงเรียนที่เหมาะสมกับความจำเป็นที่สุด ซึ่งปรากฎว่าราษฎรในท้องที่ที่มีการสร้างโรงเรียน ได้พากันร่วมอุทิศแรงกายช่วยในการก่อสร้าง ตลอดจนอุทิศทุนทรัพย์สมทบเป็นทุนในการจัดซื้ออุปกรณ์ต่าง ๆ ที่จะนำไปใช้ในการก่อสร้างโรงเรียน เพื่อเป็นการโดยเสด็จพระราชกุศลด้วย และเมื่อการก่อสร้างโรงเรียนแล้วเสร็จ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดโรงเรียนเหล่านั้น พร้อมทั้งพระราชทานนามว่า โรงเรียนร่มเกล้า ซึ่งในปัจจุบันมีทั้งโรงเรียนระดับประถมศึกษา และระดับมัธยมศึกษา

    4. พระราชกรณียกิจ ในหลวงโดยที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงเป็นประมุขของประเทศ ได้เสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่าง ๆ หลายประเทศ ทั้งในทวีปเอเชีย ทวีปยุโรป และทวีปอเมริกาเหนือ เพื่อเป็นการเจริญทางพระราชไมตรีระหว่างประเทศไทย กับบรรดามิตรประเทศเหล่านั้น ที่มีความสัมพันธ์อันดีอยู่แล้ว ให้มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นยิ่งขึ้น ทรงนำความปรารถนาดีของประชาชนชาวไทย ไปยังประเทศต่าง ๆ นั้นด้วย ทำให้ประเทศไทยเป็นที่รู้จักกันอย่างกว้างไกลมากยิ่งขึ้น นับว่าเป็นประโยชน์ต่อประเทศไทยอย่างมหาศาล และประเทศต่าง ๆ ที่เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเจริญทางพระราชไมตรีนั้น มีดังนี้- เวียดนามใต้ ระหว่างวันที่ 18-21 ธันวาคม 2502 ซึ่งเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนต่างประเทศครั้งแรก ในรัชกาลปัจจุบัน
      – เสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐอินโดนีเซีย ระหว่างวันที่ 8-16 กุมภาพันธ์ 2503
      – เสด็จพระราชดำเนินเยือนสหภาพพม่า ระหว่างวันที่ 2-5 มีนาคม 2503
      – เสด็จพระราชดำเนินเยือนสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 14 มิถุนายน – 15 กรกฎาคม 2503
      – เสด็จพระราชดำเนินเยือนอังกฤษ ระหว่างวันที่ 19-23 กรกฎาคม 2503
      – เสด็จพระราชดำเนินเยือนสหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน ระหว่างวันที่ 25 กรกฎาคม – 2 สิงหาคม 2503
      – เสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐโปรตุเกส ระหว่างวันที่ 22-25 สิงหาคม 2503
      – เสด็จพระราชดำเนินเยือนสวิตเซอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 2ช-31 สิงหาคม 2503
      – เสด็จพระราชดำเนินเยือนเดนมาร์ก ระหว่างวันที่ 6-9 กันยายน 2503
      – เสด็จพระราชดำเนินเยือนนอร์เวย์ ระหว่างวันที่ 19-21 กันยายน 2503
      – เสด็จพระราชดำเนินเยือนสวีเดน ระหว่างวันที่ 23-25 กันยายน 2503
      – เสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐอิตาลี ระหว่างวันที่ 28 กันยายน – 1 ตุลาคม 2503
      – เสด็จพระราชดำเนินเยือนนครรัฐวาติกัน เมื่อวันที่ 1 ตุลาคม 2503
      – เสด็จพระราชดำเนินเยือนเบลเยี่ยม ระหว่างวันที่ 4-7 ตุลาคม 2503
      – เสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐฝรั่งเศส ระหว่างวันที่ 11-14 ตุลาคม 2503
      – เสด็จพระราชดำเนินเยือนลักเซมเบอร์ก ระหว่างวันที่ 17-19 ตุลาคม 2503
      – เสด็จพระราชดำเนินเยือนเนเธอร์แลนด์ ระหว่างวันที่ 24-27 ตุลาคม 2503
      – เสด็จพระราชดำเนินเยือนสเปน ระหว่างวันที่ 3-8 พฤศจิกายน 2503
      – เสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐอิสลามปากีสถาน ระหว่างวันที่ 11-22 มีนาคม 2505
      – เสด็จพระราชดำเนินเยือนสหพันธรัฐมลายา ระหว่างวันที่ 20-27 มิถุนายน 2505
      – เสด็จพระราชดำเนินเยือนนิวซีแลนด์ ระหว่างวันที่ 18-26 สิงหาคม 2505
      – ออสเตรเลีย ระหว่างวันที่ 26 สิงหาคม – 12 กันยายน 2505
      – เสด็จพระราชดำเนินเยือนญี่ปุ่น ระหว่างวันที่ 27 พฤษภาคม – 5 มิถุนายน 2506
      – เสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐจีน ระหว่างวันที่ 5-8 มิถุนายน 2506
      – เสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐฟิลิปปินส์ ระหว่างวันที่ 9-14 กรกฎาคม 2506
      – เสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐออสเตรีย ระหว่างวันที่ 29 กันยายน – 5 ธันวาคม 2507
      – เสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐเยอรมัน ระหว่างวันที่ 22-28 สิงหาคม 2509 ซึ่งเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนครั้งที่สอง
      – เสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐออสเตรีย ระหว่างวันที่ 29 กันยายน – 2 ตุลาคม 2509 ซึ่งเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนครั้งที่สอง
      – เสด็จพระราชดำเนินเยือนอิหร่าน ระหว่างวันที่ 23-30 เมษายน 2510
      – เสด็จพระราชดำเนินเยือนสหรัฐอเมริกา ระหว่างวันที่ 6-20 มิถุนายน 2510 ซึ่งเป็นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนครั้งที่สอง
      – เสด็จพระราชดำเนินเยือน แคนาดา ระหว่างวันที่ 21-24 มิถุนายน 2510
      – เสด็จพระราชดำเนินเยือนสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ระหว่างวันที่ 8-9 เมษายน 2537

      เมื่อเสร็จสิ้นการเสด็จพระราชดำเนินเยือนประเทศต่าง ๆ แล้ว ก็ได้ทรงต้อนรับพระราชอาคันตุกะ ที่เป็นประมุขของประเทศต่าง ๆ ที่เสด็จและเดินทางมาเยือนประเทศไทยเป็นการตอบแทน และบรรดาพระราชอาคันตุกะทั้งหลาย ต่างก็ประทับใจในพระราชวงศ์ของไทย ตลอดจนประชาชนชาวไทยอย่างทั่วหน้า บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ได้เสด็จพระราชดำเนินไปทรงเปิดโรงเรียนเหล่านั้น พร้อมทั้งพระราชทานนามว่า โรงเรียนร่มเกล้า ซึ่งในปัจจุบันมีทั้งโรงเรียนระดับประถมศึกษา และระดับมัธยมศึกษา

    5. พระราชกรณียกิจ ในหลวง…ภาษาไทยนั้นเป็นเครื่องมืออย่างหนึ่งของชาติ ภาษาทั้งหลายเป็นเครื่องมือของมนุษย์ชนิดหนึ่ง คือเป็นทางสำหรับแสดงความเห็นอย่างหนึ่ง เป็นสิ่งที่สวยงามอย่างหนึ่ง เช่นในทางวรรณคดีเป็นต้น ฉะนั้นจึงจำเป็นต้องรักษาไว้ให้ดี ประเทศไทยนั้นมีภาษาของเราเองซึ่งต้องหวงแหนประเทศใกล้เคียงของเราหลายประเทศมีภาษาของตนเอง แต่ว่าเขาก็ไม่แข็งแรง เขาต้องพยายามหาทางที่จะสร้างภาษาของตนเองไว้ให้มั่นคง เราโชคดีที่มีภาษาของตนเองแต่โบราณกาล จึงสมควรอย่างยิ่งที่จะรักษาไว้… ”พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระอัจฉริยภาพด้านภาษาและวรรณกรรมเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าพระองค์จะทรงเจริญพระชันษาในต่างประเทศ ทรงศึกษาภาษาต่างประเทศ แต่พระองค์ยังทรงมีพระอัจฉริยภาพในการใช้ภาษาไทยได้อย่างยอดเยี่ยม และยังทรงห่วงใยต่อภาษาไทยอีกด้วย พระอัจฉริยภาพในการใช้ภาษาไทยของพระองค์แสดงชัดในด้านต่าง ๆ ดังนี้
    6. พระราชกรณียกิจ ในหลวงทฤษฎีว่าด้วยการพัฒนาทรัพยากรแหล่งน้ำในบรรยากาศ
      ในปี พ.ศ. 2498 พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เสด็จพระราชดำเนินเพื่อทรงเยี่ยม พสกนิกรในภาคตะวันออกเฉียงเหนือ ย่านบริเวณเทือกเขาภูพานทรงสังเกตว่า มีปริมาณเมฆมากปกคลุมเหนือพื้นที่ระหว่างเส้นทางบิน แต่ไมสามารถรวมตัวจนเกิดเป็นฝนตกได้ ทั้งที่เป็นช่วงฤดูฝน และทรงพบเห็นว่าหลายแห่งประสบปัญหา พื้นดินแห้งแล้ง ขาดแคลนน้ำเพื่ออุปโภค บริโภค และการเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฤดูเพาะปลูก เกษตรกรมักประสบความเดือดร้อนจากภาวะฝนแล้ง หรือฝนทิ้งช่วง ในระยะวิกฤติของพืชผล ทำให้ผลผลิตต่ำ หรืออาจไม่มีผลผลิตเลย และอาจทำให้ ผลผลิตที่มีอยู่เสียหายได้ จึงเป็นความเดือดร้อนอย่างสาหัส และก่อให้เกิดความสูญเสีย ทางเศรษฐกิจ แก่เกษตรกรอย่างใหญ่หลวง นอกจากนี้ความต้องการใช้น้ำมีมากขึ้น เพราะการขยายตัวทางด้านอุตสาหกรรมเกษตรกรรม และการเพิ่มขึ้นของประชากร ซึ่งมีผลให้ปริมาณน้ำต้นทุนจากทรัพยากรน้ำที่มีอยู่ ไม่เพียงพอ ซึ่งเห็นได้ชัดจากปริมาณ น้ำในเขื่อนภูมิพลที่ลดลงอย่างน่าตกใจ ด้วยสายพระเนตรที่ยาวไกล และทรงความอัจฉริยะของพระองค์ด้วยคุณลักษณะของนักวิทยาศาสตร์ ทรงสังเกต วิเคราะห์ข้อมูลในขั้นต้น และได้มีพระราชดำริครั้งแรก ในปี พ.ศ. 2498 แก่หม่อมราชวงศ์เทพฤทธิ์ เทวกุล ว่าจะทรงค้นหา วิธีการที่จะทำให้เกิดฝนตกนอกเหนือจากที่จะได้รับจากธรรมชาติโดยการนำเทคโนโลยีสมัยใหม่มาประยุกต์ กับทรัพยากร ที่มีอยู่ให้เกิดมีศักยภาพของการเป็นฝนให้ได้ “ฝนหลวง” หรือ “ฝนเทียม” จึงกำเนิดขึ้นโดยประยุกต์ผลการวิจัยค้นคว้าทางวิชาการด้านฝนเทียมของประเทศต่าง ๆ เช่น สหรัฐอเมริกา ออสเตรเลีย และอิสราเอลพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว ทรงวิเคราะห์การทำฝนหลวงว่ามี 3 ขั้นตอน คือ

      ขั้นตอนที่ 1 ก่อกวน เป็นการกระตุ้นให้เมฆรวมตัวเป็นกลุ่มแกน เพื่อใช้เป็น แกนกลางในการสร้างกลุ่มเมฆฝนในระยะต่อมา สารเคมีที่ใช้ ได้แก่ แคลเซียมคลอไรด์ แคลเซียมคาร์ไบด์ แคลเซียมออกไซด์ หรือสารผสมระหว่าง เกลือแกงกับสารยูเรีย หรือสารผสม

      ขั้นตอนที่ 2 เลี้ยงให้อ้วน ขั้นตอนนี้ใช้สารเคมี คือ เกลือแกง สารประกอบสูตร ท.1 สารยูเรีย สารแอมโมเนียไนเตรท น้ำแข็งแห้ง และอาจใช้สารแคลเซียมคลอไรด์ร่วมด้วยเพื่อเป็นการเพิ่มแกนเม็ดไอน้ำ (Nuclii) ให้กลุ่มเมฆฝน มีความหนาแน่นมากขึ้น

      ขั้นตอนที่ 3 โจมตี สารเคมีที่ใช้ในขั้นตอนนี้เป็นสารเย็นจัด คือซิลเวอร์ไอโอได น้ำแข็งแห้ง เพื่อทำให้เกิดภาวะความไม่สมดุลมากที่สุด ซึ่งจะเกิดเป็นเม็ดน้ำ ที่มีขนาดใหญ่มาก และตกกลายเป็นฝนในที่สุด อย่างไรก็ดี ทุกขั้นตอนจะต้องอาศัยความรู้และประสบการณ์ในการตัดสินใจที่จะเลือกใช้สารเคมีในปริมาณที่พอเหมาะ

บิ๊กไบค์

Kawasaki-Z800-สีเขียวมาพูดถึงตัวรถกัน Z800 ที่ขายในบ้านเรากันว่าเป็นอย่างไร Z800 มาพร้อมกับขุมกำลังเครื่องยนต์ 4 จังหวะ 4 สูบแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว เป็นระบบหัวฉีด และระบายความร้อนด้วยน้ำ ขนาดกระบอกสูบ 806 ซีซี ให้กำลังแรงม้าสูงสุดถึง 113 แรงม้า ที่ 10,200 รอบ/นาที กำลังเหลือหลายเลยทีเดียว ในส่วนของถังน้ำมันบรรจุสูงสุดถึง 17 ลิตร ระบบครัชและเกียร์เป็นครัชมือแบบเปียก ระบบเกียร์ 6 speed โข้คหน้าเป็น upside down 41 มม. ส่วนโช้คหลังเป็น โช้คแก๊ซ Uni Trak สามารถปรับ Preload และ Rebound ได้ทั้งหน้าและหลัง ล้อเป็นล้อแม๊กซ์ ส่วนขนาดของยางหน้าติดมากับรถเป็นขนาด 120/70ZR17M/C (58W) ส่วนยางหลังเป็นขนาด 180/55ZR17M/C (73W) หน้าปัดเรือนไมล์เป็นดิจิตอลทั้งหมด ไฟท้าย LEDดีไซน์สวยเป็นตัว Z ส่วนของน้ำหนักรถนั้นค่อนข้างหนักพอสมควรเพราะมีน้ำหนักตัวถึง 230 กก. เมื่อเติมน้ำมันเต็มถึงหนักถึง 252 กก เลยทีเดียวถือว่าน้ำหนักเยอะเอาเรื่องเลย ขนาดตัวรถ กว้าง 2,100 ยาว 800 และสูง 1,050 ความสูงใต้ท้อง 150 ความสูงเบาะ 834 หน่วยเป็น มม.ทั้งหมด

เมื่อได้เห็นข้อมูลทั้งหมดของ Z800 แล้วนั้นเป็นรถที่มีสมรรถนะสมตัวเลยทีเดียวแต่ข้อด้อยคงจะเป็นเรื่องน้ำหนักที่หนักเอาเรื่องเลยทีเดียวถ้ามือใหม่เจอคงต้องมีบ่นกันบ้างละ ส่วนเรื่องที่หลายคนคงรู้กันแล้วว่าราคาเจ้าตัว Z800 นั้นไม่ได้โหดเหมือนหน้าตาเพราะเป็นรถที่ผลิตในประเทศไทยทำให้สนนราคาสุทธิอยู่ที่ 375,000 บาทเหล่าสาวกบิ๊กไบค์คงยิ้มออกกันเลยทีเดียว แต่อยากจะสะกิดใจพวกที่คิดจะได้รุ่น ABS เพราะทางศูนย์เขามีมาแค่รุ่นเป็นและไม่มี ABS แต่ก็ไม่แน่อาจจะมีเซอร์ไพร์หลังจากนี้ก็เป็นได้ หากสนใจอยากได้เจ้า Z800 มาไว้เป็นเจ้าของก็สามารถติดต่อทางศูนย์ Kawasaki ใกล้บ้านท่านได้ทันที แต่จองแล้วต้องรอหน่อยนะ เพราะคิวยาวมากๆ คิดดูละกันขายดีแค่ไหน